ทำบุญเพราะอยากรวยหรือทำบุญเพราะอยากได้บุญ...ผิดมั้ย???
ทำบุญเพราะความอยาก เช่นอยากรวย อยากไปสวรรค์ ทำบุญเพราะอยากได้บุญ หรือทำบุญเพราะอยากไปนิพพาน เหล่านี้ถือว่าเป็น การหลงบุญหรือเป็นการคิดผิดหรือไม่...???
ผมเชื่อว่าคำถามนี้แต่ละคนคงตอบไม่เหมือนกันแน่ เพราะต่างคนก็ต่างความคิด บางท่านอาจบอกว่า ถ้าไม่อยากได้บุญแล้วจะทำบุญไปทำไม อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่บางท่านอาจจะแย้งว่า ทำบุญไม่ควรหวังในบุญ เพราะมีความอยาก ย่อมเป็นกิเลส จัดเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ.... แล้วท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกันบ้างครับ..
พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างไร
คำตอบของคำถามนี้ ผมคิดว่าคงต้องอิงคำสอนของพุทธองค์ในพระไตรปิฎกก่อนนะครับ
พระพุทธองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลก ทรงทราบว่า คนเรากิเลสหนาบางไม่เท่ากัน หากใครได้อ่านพระไตรปิฎกคงทราบดีว่า เวลาพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัทมักแสดงธรรมเรื่อง อนุปุพพิกถา ซึ่งประกอบไปด้วย
- ทานกถา กล่าวถึงทาน
- สีลกถา กล่าวถึงศีล
- สัคคกถา กล่าวถึง สวรรค์
- กามาทีนวกถา กล่าวถึง โทษแห่งกาม
- เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึง อานิสงส์แห่งการออกจากกาม
อนุปุพพิกถานั้น เป็นธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อฟอกอัธยาศัยของบุคคลผู้ฟังให้มีความประณีตขึ้นไปโดยลำดับ ถ้าหากว่าผู้ฟังสามารถที่จะชำระกิเลสของตนให้เบาบางลงได้ ตามที่ทรงแสดงแล้ว ต่อไปก็จะแสดงอริยสัจ ๔ ธรรมะทั้ง ๙ ข้อนี้ จึงเรียกว่า พหุลานุศาสนี คือพระธรรมที่พระองค์แสดงมากที่สุด เนื่องจากเป็นการค่อย ๆ ขัดเขลาจิตใจของผู้ฟังไปโดยลำดับ แต่เวลาแสดงจริง ๆ นั้น ไม่จำเป็นแสดงครบหมดทั้ง ๕ ข้อ ผู้ฟังสามารถจะเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติได้ในระดับใด ก็จะทรงแสดงไปในระดับนั้น
- ประการแรก ก็จะทรงแสดงประโยชน์ของการให้ เพื่อขจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัวของบุคคลให้เจือจางลงไป บังเกิดมีน้ำใจเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อต่อบุคคลอื่นจนถึงกับพร้อมที่จะเสียสละและบริจาคทาน
- จากนั้นก็จะทรงแสดงศีล เพื่อให้บุคคลตระหนักที่จะควบคุมกาย วาจาของตนให้ประพฤติเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยต่อหมู่คณะที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ จนถึงพร้อมที่จะยอมรับนับถือบุคคลอื่น และทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นศักดิ์ศรีแก่หมู่คณะ
- จากนั้นก็จะแสดงผลดีงามที่เกิดขึ้นจากการให้ทานและการรักษาศีลที่บุคคลจะพึงประสบ ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า คือการอุบัติบังเกิดในสวรรค์
- และเมื่อบุคคลเห็นชื่นชมเพลิดเพลินกับความสุขในสวรรค์ อัธยาศัยของบุคคลนั้นสามารถที่จะเรียนรู้ปฏิบัติสูงขึ้นไปพระองค์ก็จะแสดงถึงโทษแห่งกาม คือการที่ใจของบุคคลไปกำหนดรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ วัตถุกามเหล่านั้น จะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีโทษ ก่อให้เกิดความหมกมุ่น ยึดติด ผ่อนคลายได้ยากสลัดได้ยาก จิตใจจะกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น
- แต่เมื่อบุคคลมีความเบื่อหน่ายในกามก็จะแสดงเนกขัมมานิสงส์คือ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม นี่เป็นหลักที่ทรงแสดงไปตามลำดับดังนี้
พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน ท่านเคยสอนเปรียบเทียบให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ว่า "ถ้าทำบุญแล้วไม่อยากได้บุญใครหน้าไหนมันจะไปทำจ๊ะ อันนั้นมันเป็นอารมณ์พระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลสแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาจิตไปยึดเกาะบุญเกาะบาปอีกต่อไป ท่านทำอะไรจิตก็ไม่ปรุงแต่ง เป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้น ทีนี้เรายังไม่ถึงขั้นนั้นจิตยังต้องการเกาะความดีอยู่ คือบุญอันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนานั่นเอง เปรียบเหมือนเดินขึ้นบันไดก็ต้องมีราวเกาะคือความดี แต่เมื่อขึ้นไปถึงสุดทางขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องการราวเกาะอีกต่อไป ตอนนั้นค่อยวาง ไม่ใช่ยังไปไม่ถึงแล้ววางราวเกาะ อย่างนี้อีกกี่ชาติจะไปถึงจ๊ะ.."
หลักการทำบุญ
การทำบุญจริงๆ มี 10 วิธีคือ บุญกิริยาวัตถุ 10 ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอยกตัวอย่างของการทำทานมาหนึ่งตัวอย่าง ปกติผลบุญจากการให้ทานจะมากจะน้อยขึ้นกับองค์ประกอบ 4 อย่างหลักๆ คือ ผู้ให้ทานมีความบริสุทธิ์(แบ่งตามศีล) วัตถุทานมีความบริสุทธิ์ เจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ และสุดท้ายคือ ผู้รับมีความบริสุทธิ์ (เนื้อนาบุญ)
ในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะปัจจัยที่สาม คือ เรื่องของเจตนาในการให้ทาน เพราะเกี่ยวกับหัวข้อที่เขียนในวันนี้
เจตนาของผู้ให้บริสุทธิ์ หากเราให้ทานด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ
ด้วยความเมตตา ด้วยความปรารถนาดี ทั้งก่อนให้ก็มีความสุขที่จะได้ให้
ขณะให้ก็มีความสุขใจ และหลังจากให้แล้วเมื่อนึกถึงที่ได้ทำไปก็รู้สึกสุขใจ จิตจะตั้งอยู่บนความเบิกบานแจ่มใส เราย่อมได้รับผลบุญสูงกว่าให้โดยหวังผลประโยชน์บางอย่างตอบแทน ให้เพราะอยากได้หน้า
ให้ไปแล้วรู้สึกเสียดายทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ไปแล้ว
จิตของเราจะตั้งอยู่บนความเศร้าหมอง ขุ่นมัว
ผลบุญย่อมลดลง เรื่องของเจตนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากและสร้างความแตกต่างในบุญได้มากที่สุด
เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ เจตนาที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์กับเจตนาที่บริสุทธิ์มากๆ จะสามารถให้ผลบุญที่แตกต่างกันเป็นล้านๆ
เท่า
ใน
ทานสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อที่
49 พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระสารีบุตรไว้สรุปใจความได้ดังนี้
- ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช
- ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม
****************************
สรุปว่า ไม่ว่าเราจะทำบุญเพราะหวังรวย หรืออยากไปสวรรค์ หรืออยากแก้กรรม หรือเพราะอยากได้บุญเพื่อพระนิพพานหรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาทำบุญให้เก็บความอยากเอาไว้ แล้วตั้งจิตให้ได้กุศลสูงสุดคือ ทานหรือบุญที่เราทำนี้หวังเพียงละกิเลสคือความโลภในใจเรา เป็นการให้ทานเพื่อการสงเคราะห์ผู้อื่นและเพื่อให้เป็นปัจจัยให้ได้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น