
ถาม : ทางลัดไปสู่พระนิพพาน?
ตอบ: ทางลัดไม่มีจ้ะ การปฏิบัติทุกอย่างทางตรงสั้นที่สุด คือจับอารมณ์พระโสดาบันไปเลย อันดับแรกต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆ อันดับที่สอง รักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ อันดับที่สามตั้งใจเสมอว่าตายแล้วจะไปนิพพานคราวนี้การที่เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน ต้องมีสมาธิควบอยู่ถึงจะทรงตัว ดังนั้น เราจะทิ้งอาณาปานสติ คือการนึกถึงลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ต้องนึกอยู่เสมอเสร็จแล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ศีลทุกข้อของเราวันนี้บริสุทธิ์ไหม ? อันไหนบกพร่องพรุ่งนี้เราต้องแก้ไขให้มันดีกว่าเดิม อันไหนดีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เราจะทำให้ดียิ่งกว่านี้ ศีลทุกข้ออย่าละเมิดด้วยตัวเอง อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ ต้องทวนอยู่อย่างนี้ตลอดทุกวัน
ถาม : คำว่า นิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า ??
ตอบ: เอาแค่นั้นล่ะจ้ะ ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ ไหน นอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนนิพพาน เอาแค่นั้นพอ คิดว่าเราตาย เราก็ขอไปอยู่กับท่านตรงนั้น ถึงไม่เห็นเลยก็ไม่ เป็นไร ให้มั่นใจว่านิพพานอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะ ฉะนั้นการปฏิบัติทางลัดไม่มีนะจ๊ะ มีแต่ทางตรง ซึ่งสั้นที่สุด ลองไปลัดดูสิ ทางลัดทางไหนก็ตามมันอ้อมทั้งนั้นแหละ
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนมกราคม ๒๕๔๗ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
การเข้าพระนิพพานในวิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด
โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สำหรับการที่จะเข้าพระนิพพานนั้น จิตจะต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งก็แยกย่อยออกไปได้หลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด คือ
1. ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต ซึ่งความเชื่อนี้ รวมไปถึงพระธรรมคำสอนในข้อที่ว่า…
นิพพานัง ปรมัง สุขัง *พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง*
นิพพานัง ปรมัง สูญญัง *พระนิพพานเป็นที่ที่สูญจากกิเลส จากอวิชชาทั้งมวล*
จากพระธรรมทั้ง ๒ ประโยคนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า พระนิพพานเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทับอยู่จริง เมื่อเราเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจ ว่า พระนิพพานมีจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง การที่เราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่ นั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความเชื่อมั่น เชื่อมั่นว่าพระนิพพานมีอยู่จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีอยู่ จริง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ประทับอยู่บนพระนิพพานจริง เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้แล้ว ให้ลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ที่พระองค์ท่านทรงชี้แนะเอาไว้ สิ่งนั้นคือ ขั้นตอนต่างๆ ที่ลัดที่สุด เร็วที่สุด ตัดตรงที่สุด ซึ่งมีดังนี้
2. มีศีล 5 (เป็นอย่างน้อย)
3. ทุกครั้งที่ทำความดี (ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม)
ให้อธิษฐานขอไปพระนิพพาน ว่า...ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ภพภูมิอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น อบายภูมิ โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหมก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา…ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงพระนิพพานเป็นที่สุด..ตายเมื่อ ไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น..
4. พิจารณานึกถึงความตายอยู่เสมอ
พร้อมกับพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกายนี้ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ของๆ เรา เราไม่มีในสังขาร ร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา นึกน้อมพิจารณาจนจิตยอมรับสภาพตามความเป็นจริง และมีการปล่อยวางในสังขารร่างกายนี้
5. พิจารณาตัดขันธ์ 5 และพิจารณาถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ
เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้ว มีแต่โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจทั้งหลาย ต้องพลัดพรากจากคนที่ เรารักและคนที่รักเรา สิ่งเหล่านี้มันทุกข์ใช่ไหม เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้วเรายังอยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่
6. เมื่อพบความจริงของชีวิตแล้ว… ต่อมาให้จิตเชื่อมั่น และจับภาพพระพุทธเจ้า หรือ ภาพพระพุทธรูปที่เรารักชอบ
ที่พระนิพพานซึ่งเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้าเป็นที่สุด (ไม่ว่าเราจะได้ มโนมยิทธิหรือไม่ก็ตาม) หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว และอธิษฐานให้บ่อยๆ ทำจนจิตชิน จนเขาภาวนาของเขาเองได้ยิ่งดี ว่า…
สังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย ถ้าข้าพเจ้าตายลงเมื่อไหร่ ขอให้ดวงจิต ของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเถิด และขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานนั้นโดยทันทีด้วยเถิด
ข้อสำคัญของการเข้าพระนิพพาน คือ จิตจะต้องเกิดอาการเบื่อหน่ายในร่างกาย (ขันธ์5) อย่าง จริงๆ จัง…
ดังนั้นต้องมีการพิจารณาตัดขันธ์ 5 พิจารณาถึงความตาย ความทุกข์ทั้งหลาย อยู่เสมอๆ พิจารณาบ่อยๆ วันละหลายๆ ครั้งได้ก็จะดีมาก แต่เมื่อพิจารณามากเข้าๆ จิตอาจจะเบื่อจนนึกอยากจะฆ่าตัวตาย
ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาสมทบเข้าไปว่า…
ถึงสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ น่าเบื่อหน่าย แต่ข้าพเจ้าจะยังคงรักษาธาตุขันธ์นี้ต่อไป เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอื่น และธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ตราบจนกว่าจะถึงอายุขัยของข้าพเจ้าเอง
เสร็จแล้ว พยายามพิจารณาทุกสิ่งให้เป็น “ธรรมดา” ยอมรับสภาพของชีวิตตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เมื่อใกล้ตายจิตจะมารวมตัวกันเองโดยไม่ต้องบังคับ เพราะจิตมีความชินกับการที่ จิตเราจับอยู่ที่พระพุทธองค์ และพระนิพพานเสมอ
ให้เชื่อมั่นว่า…ตายเมื่อไหร่เราขึ้นพระนิพพานแน่นอน…
******************************************
เรื่อง วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด
...เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี ทรงประทับยืนอยู่เหนือศรีษะด้านหน้า มีแสงสว่างมากแล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า
"คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่ คือเข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้
วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอน
นอนก่อนจะหลับหรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย เอาจิตใจจับนึกถึงท่าน (พระพุทธเจ้า) ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญานก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ให้เป็นประกาย
บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลืองก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้
ทำอยู่อย่างนี้ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้วเป็นประกายทุกวัน"
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ท่านบอกว่าถ้าเขาทำอย่างนี้นะ ได้ทุกวันอย่าได้ขาด วันหนึ่งใช้เวลา 2-3 นาทีก็ไม่เป็นไร ฉันไม่จำกัดเวลาว่าจะใช้เวลานานหรือเวลาเร็ว
ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวันแล้วก็ทรงอารมณ์ตามที่บอกไว้คือ
1) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต
2) เคารพในพระรัตนตรัย
3) ทรงศีล 5 บริสุทธิ์
4) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว
ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัยของเขา 7 วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ ว่าก่อนอายุขัยอีก 7 วันต้องตายแน่อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไปเมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนดในการทรงสังขาร
*สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่าจะเข้าถึงอรหัตผลทันที*
คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 39