หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตามรอยพุทธทาส...ตายแล้วไปไหน

ตามรอยพุทธทาส...ตายแล้วไปไหน

เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมลังเลอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ แม้แต่ตอนที่กำลังเขียนอยู่นี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าควรเขียนแล้วหรืออย่างไร เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ มีทั้งผลดีและผลเสีย และเป็นเรื่องที่ผมเคยล้มเลิกความคิดที่จะเขียนมาได้พักหนึ่ง เหตุเพราะการกล่าวอ้างถึงหลวงพ่อพุทธทาส ที่มีผู้คนศรัทธามากมาย และมีหนังสือคำสอนอยู่เต็มท้องตลาดหนังสืออยู่ทุกวันนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกระแสของผู้ไม่เห็นด้วย และเกิดการโต้แย้งให้วุ่นวายในที่สุด..
แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ทรงสอนว่า จะดีจะชั่วก็ขึ้นกับเจตนาเป็นหลัก ดังนั้นผมจึงขอบอกก่อนว่าเจตนาที่ผมเขียนบทความต่อไปนี้ ไม่มีเจตนาจะลบหลู่ใคร หรือทำให้บุคคลใดเสียหาย หรือโอ้อวดตัวเองแต่อย่างใด แต่เจตนาที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะต้องการให้ท่านผู้ที่ต้องการศึกษาพระธรรม หรือสนใจพระพุทธศาสนาได้พบหนทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก เหมือนที่ผมเคยประสบพบเจอมาก่อน
อนึ่งท่านผู้อ่านพึงทราบว่า เรื่องนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ไม่ทราบได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการเชื่อ และหากเรื่องนี้ทำให้ท่านผู้อ่านขุ่นข้องหมองใจประการใด ผู้เขียนต้องกราบขออภัยไว้ด้วย ถือซะว่าเป็นความโง่ของผู้เขียนไปละกันครับ...

เหตุแห่งความสงสัย

สมัยเริ่มศึกษาธรรมะใหม่ๆ มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอาหนังสือ คู่มือมนุษย์ ของหลวงพ่อพุทธทาสมาให้อ่าน เพื่อนบอกว่า เขียนดีมาก เป็นหนังสือธรรมะที่ดีที่สุด ผมลองเอามาอ่านดู... ปรากฏว่า อ่านไม่รู้เรื่องเลย.... ไม่รู้เพราะอะไร แต่อ่านแล้วรู้สึกไม่ถูกจริต และทนอ่านต่อไปไม่ได้ ก็มาคิดเอาเองว่า สงสัยเรายังใหม่อยู่ เอาไว้ค่อยกลับมาศึกษาใหม่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ศึกษาแนวทางของท่านอีกเลย
ผ่านไปหลายปี ยิ่งศึกษาธรรมะมากขึ้น ชื่อเสียงของท่านก็มาให้ได้ยินมากขึ้น ประกอบกับผมเคยสงสัยเรื่องการกินเนื้อกินผัก ก็ได้คำตอบจากงานเขียนของท่าน ผมจึงเริ่มสะสมหนังสือต่างๆ ของท่านเก็บไว้รออ่าน แต่ไม่รู้เป็นไร หยิบมาอ่านทีไร เป็นต้องวางทุกที ส่วนใหญ่เลยเอาไปให้พ่ออ่าน ปรากฏว่าพ่อชอบมาก...ซะงั้น แสดงว่าจริตใครก็จริตมัน
หลายปีผ่านไป ผมได้กลับมาพบกับเพื่อนคนที่เคยแนะนำให้ผมอ่านหนังสือ คู่มือมนุษย์ หลังจากได้สนธนาธรรมกันบ้าง ทำให้ทราบว่า เพื่อนผมคนนี้ เข้าใจว่า ตายแล้วสูญ นิพพานแล้วสูญ...เอาละซี งงเลยว่าเพื่อนเราก็ศึกษาธรรมะมานาน แต่ทำไมกลับเข้าใจผิดอย่างนี้หว่า...ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนแนะนำผมเรื่องหนังสือธรรมะด้วยซ้ำ และผมก็ได้สังเกตพบว่ามีคนรู้จักอีกหลายคนที่ศรัทธาหลวงพ่อพุทธทาส และช่วงนั้นเองก็มีเหตุให้ผมไปอ่านเจอกระทู้ที่มีคนออกมาต่อต้านคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาสว่าท่านสอนผิด คือ ท่านสอนว่าไม่มีสวรรค์ นรก ไม่มีเทวดา หรือโอปาติกะต่างๆ รวมทั้งสอนว่านิพพานสูญ พระพุทธเจ้าสูญไปแล้ว ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ตอนแรกผมคิดว่า คนเขียนกระทู้มั่วหรือเปล่า ท่านจะสอนแบบนั้นได้ยังไง แต่เขาก็แนบหลักฐานคำสอนของท่านมาจริง ปรากฏว่า ก็อย่างที่กล่าวตอนต้น กระทู้เหล่านี้ปรากฏว่าได้รับความนิยมมาก ปะฉะดะกันกระจาย โดยมีกัน 3 ฝ่าย คือ หนึ่งฝ่ายที่คัดค้านคำสอนของท่าน สองฝ่ายลูกศิษย์ที่ออกมาสนับสนุน และสามฝ่ายที่หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลยออกมาพูดว่า.."จะรู้ไปทำไม"... จริงๆ คงมีอีกหนึ่งฝ่าย คือ ฝ่ายที่ท่านรู้แล้วว่าหลวงพ่อพุทธทาสท่านเป็นพระอริยะเจ้าหรืออยู่ในนรกกันแน่ แต่ท่านเหล่านี้มักมีอุเบกขาแรง ไม่อยากจะมายุ่งด้วย เพราะท่านไม่อยากอยู่ในความวุ่นวาย...

ลองดูตัวอย่างกระทู้นี้

link >>> ท่านพุทธทาสเป็นพระอริยะเจ้ารึเปล่าครับ

อ่านจบแล้วได้ข้อสรุปกันมั้ยครับว่า คำสอนท่านบิดเบือนจริงหรือไม่ ท่านเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ และตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน สวรรค์ พรหม นิพพาน หรือ นรก..
จากกระทู้ข้างต้นและที่ผมเคยอ่านเจอมา ฝ่ายที่สนับสนุนหลวงพ่อพุทธทาสมีเหตุผลดังนี้ครับ
- มีการกล่าวอ้างหลวงพ่อเกษม เขมโกว่า ท่านเป็นพระอนาคามี
- มีการกล่าวอ้างว่าหลวงพ่อชา สุภัทโท ยืนยันคำสอนของท่าน
- มีการกล่าวอ้างว่าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญและหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชื่นชมท่าน
- พระสายวัดธรรมกายกล่าวอ้างว่าท่านอยู่บนสวรรค์ (ไม่ทราบที่มา)
- ท่านได้รับการยกย่องจากองค์กรระดับโลกอย่าง ยูเนสโก
- ฯลฯ

ฝ่ายที่คัดค้านให้เหตุผลว่า
- มีการอ้างคำสอนที่ท่านคัดค้านพระไตรปิฎก รวมทั้งสอนว่า นิพพานสูญ
- มีการกล่าวอ้างว่าผู้มีญาณพบท่านในโลกันตนรก
- มีการกล่าวอ้างว่า อัฐิธาตุของท่านไม่แปรเป็นพระธาตุเหมือนพระอริยเจ้าท่านอื่น
- พระวัดท่าซุงออกมาปฏิเสธคำอ้างที่ว่าหลวงพ่อฤาษีฯไปเยี่ยมท่านที่สวนโมกข์และชื่นชมท่านว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง (จากคำบอกเล่าสมาชิกเวบพลังจิต)
- ฯลฯ

จะรู้ไปทำไม..???
นั่นนะสิครับ หลายท่านอาจจะตั้งคำถามอย่างนี้ ถ้าให้ตอบแบบกวนๆ ก็คือ ก็เพราะอยากรู้นะสิ ก็คนมันสงสัยเลยอยากรู้ คุณไม่อยากรู้ก็เรื่องของคุณสิ มาอ่านกระทู้นี้ทำไม (ว่ะ..55)
ไม่หรอกครับ จริงๆ มันมีที่มาที่ไป จริงอยู่ที่ว่า พระพุทธองค์สอนว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง : จงเตือนตนด้วยตนเอง" คือ ให้เน้นดูความผิดของตัวเองเป็นหลัก อย่าไปเพ่งโทษหรือติเตียนผู้อื่น แม้เขาจะผิดจริง ก็ไม่ควรจะไปด่าหรือตำหนิเขา แต่พระองค์ก็ยังทรงสอนว่า อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต นั่นคือ ให้อยู่ใกล้กัลยาณมิตร  จะได้มีความเจริญ ในทางธรรมเรื่องของกัลยาณมิตรถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิตรที่ดีจะช่วยให้เรามีสัมมาทิฏฐิ ในที่นี้รวมความถึงครูบาอาจารย์ด้วย ในเมื่อเรายังไม่รู้ว่าใครคือบัณฑิตหรือคนพาล จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะรู้เพื่อป้องกันการหลงผิด เพราะหากหลงผิดไปแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะไปแก้ไขความคิดเขา เหตุที่เราสงสัยไม่ใช่เพื่อไปจับผิดหรือตำหนิใคร แต่เจตนาเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิทั้งแก่ตัวเราเอง และเพื่อนร่วมสังสารวัฏ ผมจึงเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ จึงได้พยายามค้นหาคำตอบให้กับตัวเองมานานหลายปี กว่าจะได้คำตอบ..

คำตอบคืออะไร
คำตอบผมคงไม่ต้องบอกหากท่านผู้อ่านได้ลองศึกษาสิ่งที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านสอนก็คงจะพอรู้คำตอบได้ด้วยตัวเอง โดยอาจลองไปอ่านดูได้ที่เวบ พุทธทาสดอทคอม  >>>>http://www.buddhadasa.com/


ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ
- นรกสวรรค์ไม่มีจริง  
link >>>นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า
- ชาตินี้ ชาติหน้าไม่มีจริง 
link >>>> ชาตินี้ ชาติหน้า

- ไม่เชื่อเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า 
link >>>> เรื่องกลับชาติของพระพุทธเจ้า

- ไม่เชื่อเรื่องโอปปาติกะ 
link >>>>> โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี?

- เทวดาไม่มีจริง  (เทวดาเป็นพียงตัวบุคคลาธิษฐาน)
link >>>>
เทวดามีจริงหรือ?


ขอยกเนื้อหามาบางส่วน อ่านแล้วก็อึ้งกิมกี่ไปเลยครับ..

...ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า
ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต
และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.

ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา
เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว
มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว
ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่
แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว
เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา;
แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก
สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ
ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์

ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์
ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้.

ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คน
หรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิต
ได้อย่างแท้จริง;

ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;

พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์

แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ

เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์,
สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ
ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ
จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.

อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;

เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้
ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ
ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์
เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล
แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึง
เรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ

พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรัง
ไปด้วย ตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว
ก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
ไม่มีความทุกข์ เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น
พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง.

ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น
เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา

เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว
ก่อนพระองค์เกิด

ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม
พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.
เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้
ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา
แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้
เพราะความจำเป็นอย่างนี้;

ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย
ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง
หมดความจำเป็นไปในตัวเอง

เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;

หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์
ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.

พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้
จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง
เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.




บทสรุป
จากตัวอย่างที่ผมนำมาให้อ่านเบื้องต้น คงพอสรุปได้แล้วว่า หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้ามากมายแค่ไหน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ การที่สอนบุคคลมากมายให้หลงผิดไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีโทษร้ายแรงมาก จึงพอจะคาดเดาได้ว่าตายแล้วท่านจะไปไหน แต่อย่างไรก็ตาม หากก่อนตายท่านกลับตัวกลับใจได้ ก็ไม่แน่นักว่าท่านจะไปอยู่ที่ใด...
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผมเก็บความสงสัยเรื่องหลวงพ่อพุทธทาสมานานหลายปี จนได้มีโอกาสไปฝึกมโนมยิทธิ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอไปดูว่าท่านอยู่ที่ใดกันแน่ พรหม สวรรค์ หรือนรก แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองนัก เพราะผมมันยังเลวอยู่มาก สิ่งที่ผมพบ ไม่อาจนำมาอ้างอิงได้..

แต่หลังจากที่ผมเฝ้ารอและค้นหาคำตอบจากท่านที่มีภูมิธรรมสูง ก็ได้รับคำตอบมาว่าท่านกำลังรับผลกรรมอยู่ใน โลกันตนรก หนึ่งในนั้นคือครูบาอาจารย์องค์หนึ่งที่ผมนับถือซึ่งก็คือ พระอาจารย์เล็ก แห่งวัดท่าขนุน ซึ่งถึงแม้ว่าท่านไม่ได้กล่าวถึงชื่อหลวงพ่อพุทธทาส แต่ก็พออนุมานได้จากวันเวลาที่ท่านมรณภาพซึ่งตรงกับรายละเอียดในบทสนทนาในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ดังนี้ครับ..

ถาม :  หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ
              วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอม ๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์
              ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย
      ถาม :  แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
      ตอบ :  เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย
      ถาม :  แล้วถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพระที่สอนคน คือสอนทางธรรมแล้วคนปฏิบัติหรือว่าไปในทางที่ดี ถือก็ว่าท่านมีบุญบารมีขึ้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ ถ้ารู้จริงสอนถูกต้องส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าสำหรับเป็นพระอริยเจ้าแล้วคำว่า อริยะ แปลว่า เจริญ ไม่มีคำว่าเสื่อม มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นไป เพราะอย่างงั้นถ้าถามว่าเป็นบุญมั้ย ? เป็นอยู่จะส่งผลให้ท่านดีขึ้นมั้ย ? ดีขึ้นแน่ ๆ เพราะว่าท่านไม่มีวันเสื่อมแล้ว
      ถาม :  แล้วสมมุติว่า บางคนเขาไม่ตั้งใจถือว่าเป็นกรรมเก่ามั้ย ที่เขา.....?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันก็เป็นกรรมเก่าอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาที่อื่นเยอะแยะไปที่เราคิดว่าดี?ทำไมเขาไม่ไปเขาเลี้ยวเข้าไปในสำนักอย่างงั้น ก็คงจะเคยสร้างบารมีร่วมกันมา แต่ว่าไม่แน่นะบางรายอย่างพระสุธรรมเถร บาลีเขาเรียก ตุจโฉโปฏฐิละเถรใบลานเปล่า คือ ตัวเองไม่ได้อะไรสอนตามพุทธวัจนะเฉย ๆ ลูกศิษย์กลายเป็นพระอรหันต์เป็นพัน ๆ เลย ลูกศิษย์ฉลาดสอนตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อะไรเลย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เรียกเถรใบลานเปล่า นี่เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งให้รู้สึกตัว
              ก่อนนั้นก็ยิ้มรับนะไป ๆ มา ๆ เอ๊ะทำไมพระพุทธเจ้าเรียกเราอย่างนี้ นึกไปนึกมา อ๋อ..ที่แท้เราเองดีแต่สอนคนอื่นเขา เหมือนยังกับเปิดตำราเปิดใบลานสอนอย่างนี้ แต่ว่าตัวของเราเองไม่ได้มีความดีอะไรตามนั้นเลย ก็เหมือนกับใบลานเปล่า ตั้งใจจะปฏิบัติไป ขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์แล้วสอนไม่มีใครกล้าสอน ท่านก็ต้องขอไล่ไปเรื่อย ๆ เขาโบ้ยไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเณรองค์สุดท้ายโน่น เณรก็เป็นอรหันต์แล้ว เณรเหลียวไปมองเอ้า...ไม่มีใครจะให้โบ้ยแล้วก็เลยต้องรับเป็นอาจารย์...(หัวเราะ)...
              เสร็จแล้วท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงเณรสอนก็เถอะใช่มั้ย ? เพราะว่าสามเณรอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี่ถือเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นพระเถระ ไม่มีคำว่าเด็กแล้วนะ ตัวนี้แหละโบราณเขาเคยผูกเป็นโคลงเอาไว้ว่า “ปลูกเรือนใกล้ท่า ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด” ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน นั่นมันขี้เกียจขนาดไหน ปลูกอยู่ริมน้ำแท้ ๆ ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ ถ้ามันขยันซะอย่างน้อย ๆ มันต้องมีแน่ ก็เปรียบหยั่งกับนักบวชของเราเป็นพระเป็นเณร มัวแต่ขี้เกียจอยู่หาความดีไม่ได้จะไปเอาน้ำที่ไหนกิน จะเอาหม้อที่ไหนใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ชาวบ้านอุตส่าห์บำรุงเลี้ยงเราอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนหยั่งกับเลี้ยงไก่หวังจะให้ขันบอกโมงยาม บอกหนทางไปสวรรค์บอกอะไรบ้าง ไม่ได้ศึกษาความรู้อะไรเลย จะเอาอะไรไปขันไปสอนเขา แล้วท่านก็บอกอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด ในสมัยโบราณนี่พวกคัมภีร์เทศน์อะไรต่าง ๆ เขาห่อผ้าเอาไว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาถ้าไม่แกะออกมาดูไม่ได้อ่านมันก็ไม่ได้ทำซักที
              โบราณเขาผูกเป็นปริศนาเอาไว้ บางคนตีไม่ออกอยากไปสวรรค์ไปแก้ผ้าในวัด มันขืนไปแก้กันเป็นแถว พระเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ เลย เข้าใจใช่มั้ย ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำกิน นี่ขี้เกียจสุด ๆ เลยคนบ้านเขาไกลห่างน้ำหลายกิโล เขายังอุตส่าห์ไปตักไปแบกมากินนะ ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด...(หัวเราะ)....
              ปริศนาธรรมโบราณเขาลึกซึ้ง โดยเฉพาะเลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขันนี่ ชาวบ้านเขาคงละอายใจเต็มที่แล้ว เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาแต่หาความดีไม่ได้ สักแต่ว่าห่มผ้าเหลืองไปวัน ๆ ท่านถึงได้เปรียบว่า เอาผ้าเหลืองไปห่มตอซะยังดีกว่า ไหว้ตอไม้แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์ได้บุญมากกว่า


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ 
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ 
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


update ข้อมูล : ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2557


วันนี้ว่างๆ เลยมานั่ง update blog (รู้สึกช่วงนี้ คนจะเริ่มเข้า blog เยอะขึ้น เพราะดันมีคนเอากระทู้ผมไปลงอ้างอิงในพันทิป...ซวยแล้วตรู)ก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่ามาด่าผมมากนะครับ ผมขี้เกียจเถียงคน เอาเป็นว่า เป็นข้อมูลที่ผมนำมาแชร์ ส่วนคุณผู้อ่านจะเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ใช้ปัญญาพิจารณากันเอาเองครับ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าได้ไปปรามาสพระอาจารย์เล็กที่ผมนำเอามาเป็น Reference เด็ดขาดนะครับ เพราะท่านไม่ได้เอ่ยชื่อหลวงพ่อพุทธทาส เป็นผมเองที่อนุมานเอาเอง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ถือเป็นความผิดพลาดของผมเอง..

และถ้าอยากศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง มิจฉาทิฏฐิ vs สัมมาทิฏฐิ  อ่านเพิ่มเติม >> ที่นี่ <<เลยครับ..

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิธีทำบุญให้รวย

วิธีทำบุญให้รวย

บทความนี้เป็นบทความต่อจากบทความเรื่อง "ทำบุญเพราะอยากรวย..ผิดหรือไม่" เขียนขึ้นสำหรับคนที่ยังมีกิเลสหรือความอยากรวยเหมือนผมนะครับ สำหรับท่านที่หมดความอยากรวยแล้ว เห็นว่าคงไม่เป็นประโยชน์ที่จะมาอ่าน

รวย คืออะไร
ผมเชื่อว่า นิยามของความรวยของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน และตามพจนานุกรม คำว่ารวยหมายถึง "มีมาก" แต่แน่นอนว่า มีมากสำหรับแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งมันจะเป็นตัวกำหนดว่า เมื่อไรจึงจะเรียกว่ารวย บางคน มี 1 ล้านบาทถือว่ารวย แต่บางคนต้อง 10 ล้าน บางคน 100 ล้าน หรือบางคน มีเงินเป็นหมื่นล้านแล้วยังไม่พอใจ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินความรวย คือ คำว่า "พอ" เป็นสิ่งที่เราจะต้องค้นหาคำตอบให้กับตัวเราเอง 

จริงๆ สิ่งที่เราต้องการ ผมว่าไม่ใช่เงินหรือทรัพย์สมบัติมากๆ หรอกครับ แต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือ ความสุข ต่างหาก เพียงแต่ในทางโลกแล้ว เงินหรือทรัพย์สมบัติ มันเป็นปัจจัยสำคัญให้ได้มาซึ่งความสุข เช่น การบริบูรณ์ไปด้วยปัจจัยสี่ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถแบ่งปันไปให้ผู้อื่นหรือส่วนรวม ก็ยิ่งทำให้เราได้รับความสุขมากยิ่งขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะอยากมีเงินเยอะๆ แต่ก็ไม่ควรจะให้มันมากจนกลายเป็นความโลภที่จะทำให้เราทำผิดศีลธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน..

ตามความเห็นผม เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ คำว่า "รวย" ก็คือ การมีทรัพย์มากอันจะนำมาซึ่งความสุข ซึ่งทรัพย์ก็สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 
  • โลกิยทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ทางโลก อันได้แก่ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ เรือกสวนไร่นา ฯลฯ
  • อริยทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อันประเสริฐ เป็นทรัพย์ที่มีภายในใจ มีอยู่ ๗ ประการด้วยกัน คือ สัทธาธนัง ทรัพย์คือศรัทธา,สีลธนัง ทรัพย์คือศีล, หิริธนัง ทรัพย์คือหิริ, โอตตัปปธนัง ทรัพย์คือโอตตัปปะ, สุตธนัง ทรัพย์คือสุตะ, จาคธนัง ทรัพย์คือจาคะ และ ปัญญาธนัง ทรัพย์ คือปัญญา


เคล็ดลับทำให้รวยได้ทันที
เรื่องนี้ก็ง่ายๆ ครับ คือ แค่เราพอใจในสิ่งที่เรามี ณ ตอนนี้ และคิดว่า ฉันรวยแล้ว.... นี่ละครับคือ เคล็ดลับความรวยแบบทันที่ ฮ่าๆๆ ฟังดูเหมือนตอบกวนๆ แต่มันคือ ความจริง 
ลองดูตัวอย่างท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านค้นพบแล้วว่า สิ่งที่มนุษย์เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่เงิน แต่มันคือ ความสุขต่างหาก และความสุขจากการมีทรัพย์มาก ก็เป็นแค่ โลกิยสุข คือ สุขแบบชาวโลก สุขที่อิงในโลกธรรม และพระพุทธองค์ทรงสอนว่า "สุขใดเหนือกว่าความสงบไม่มี" นั่นคือ สุขในฌานจะสุขมากกว่า หากใครได้เคยสัมผัสก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่สุขที่เหนือสุขก็คือ จิตที่สงบแล้วจากกิเลส คือ นิพพาน ดังพุทธพจน์ที่ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง : นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

แล้วจะเอายังไงกับชีวิตดีเนี่ย
จะเห็นว่า ดูเหมือนทางโลกกับทางธรรมจะสวนทางกันนะครับ คุณผู้อ่านเคยสับสนมั้ยครับ แล้วเราจะเดินทางสายไหนดี ทางโลกก็อยากได้มากๆ แต่ทางธรรมสอนให้ละ..
ผมเองก็เคยสับสนเหมือนกันครับ แต่ในที่สุดหลังจากนั่งทบทวนว่าชีวิตเราเกิดมาทำไม มีเป้าหมายอะไร และจะทำอะไร ในที่สุดก็ได้คำตอบให้กับตัวเองแล้วว่า ในทางโลกเราถูกสมมุติมาแล้วว่ามีพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ สามี-ภรรยา ลูก ฯลฯ ซึ่งเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีตามหลักทิศ 6 ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ (ลองไปหาอ่านดูนะครับ) แต่เราก็อย่าลืมเป้าหมายสูงสุดที่ควรไปให้ถึงนั่นคือ พระนิพพาน ผมจึงได้กำหนดเป้าหมายให้กับตัวเอง 2 เป้าหมาย คือ เป้าหมายทางโลก และเป้าหมายทางธรรม

เป้าหมายทางโลกคือ ไปให้ถึงจุดที่จะทำให้เรา "พอ" และนั่นคือจุดที่เรากำหนดเอาไว้ว่า นั่นแหล่ะคือเรารวยแล้ว พอแล้ว และทำหน้าที่ตามสมมุติทางโลกของเราให้ดีที่สุดตามที่จะทำได้
แต่เหนืออื่นใดต้องไม่ทิ้งเป้าหมายทางธรรม คือ ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ตามหลัก อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเองครับ... นี่เป็นคำตอบของชีวิตผม ท่านผู้อ่านลองไปค้นคำตอบให้กับตัวเองดูครับ

ผลบุญเก่าที่ทำให้เกิดมาร่ำรวย

คนเราทำบุญทำกรรมมาไม่เหมือนกัน จึงเกิดมามีต้นทุนต่างกัน เรามาดูว่าคนที่เขาเกิดมาก็ร่ำรวยเขาทำกรรมอะไรมาก่อน.. ผมขอยกบทความของคุณดังตฤณ ที่ได้รวบรวมไว้มาละกันครับ..

ส่วนกรรมหลักๆ ที่ทำให้ ‘ร่ำรวยมาก’ ได้แก่ 

๑) ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือเอาแต่คิดให้ ผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าชาวโลกทั่วไปเขา 

๒) การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสวัสดีแห่งทรัพย์ แม้ความตระหนี่ในอดีตอาจก่อให้เกิดทรัพย์เพียงน้อย ทว่าทรัพย์นั้นก็จะอยู่ทน ไม่วิบัติไปด้วยภัยธรรมชาติหรือภัยจากมือโจร 

นอกจากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ร่ำรวยได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน ช่วยให้เขาเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์ให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น บุญที่ทำนี้ก็มีสิทธิ์นำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด กับทั้งฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง 

เมื่อแยกให้เห็นเป็นเรื่องๆเช่นนี้ คุณคงพอมองออกว่าในชีวิตเดียว คนเราอาจสร้างทั้งเหตุที่ทำให้ยากจน และเหตุที่ทำให้ร่ำรวยได้ ไม่ใช่ว่าทำทานมากแล้วเป็นประกันว่าเกิดใหม่จะได้สบายตั้งแต่ต้น ต้องดูด้วยว่าทุ่มเททำแค่ไหน ตลอดไปหรือเปล่า และเคยก่อบาปไว้ถ่วงความเจริญเพียงใดด้วย 

เพื่อให้เห็นชัดเจน ขอแยกแยะ ‘บุญที่ทำให้รวย’ เป็นข้อๆดังนี้ 

บุญเก่าที่ส่งไปเข้าท้องคนรวย 

๑) เคยงดเว้นบาปชนิดที่ให้ผลเป็นความอัตคัดขณะเกิด เช่นชาติใกล้ไม่เผาบ้านไล่ที่ใคร ทั้งที่มีสิทธิ์ทำด้วยอำนาจบาตรใหญ่ 

๒) เคยผูกพันกับพ่อแม่ที่กำลังอยู่ในฐานะร่ำรวย เช่นชาติใกล้ให้การอุปถัมภ์และมีความเอ็นดูกันมา แต่ก็อาจเคยเป็นศัตรูกันมาก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเคยสาปแช่งอาฆาตว่าจะจองเวรกันอย่างเหนียวแน่น พอมาเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกทรพี เหี้ยมเกรียมขนาดจ้างฆ่าพ่อแม่เพื่อแย่งสมบัติได้ 

๓) มีบุญพอจะเสวยสุขล้นหลามตั้งแต่แรกเกิด เช่นเป็นผู้ให้ก่อนโดยผู้รับไม่จำเป็นต้องเคยมีบุญคุณกับตน เป็นผู้คิดอุปถัมภ์สมณะซึ่งไม่อยู่ในฐานะเลี้ยงดูตนเองได้ ผลที่ได้ตอบแทนจากธรรมชาติ จึงเป็นการมีผู้เลี้ยงดูอย่างดี เมื่ออยู่ในฐานะที่ไม่อาจเลี้ยงดูตนเองได้เช่นกัน 

บุญเก่าที่ทำให้ได้รับมรดกมาก 

๑) เคยเป็นผู้ยกผลประโยชน์ใหญ่ของตนให้คนอื่นด้วยน้ำใจการุณย์ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ 

๒) เคยเป็นผู้เคยมอบสมบัติให้แก่ผู้สมควรได้รับ หรือมอบวัตถุอย่างใหญ่ มอบที่ดินให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์ ขอให้คำนึงว่าสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่ง เมื่อมอบให้สงฆ์จึงสมควรแก่การรับมรดกใหญ่ในอนาคตเช่นกัน 

บุญเก่าที่ทำให้ได้ลาภก้อนใหญ่ 

๑) เคยเป็นผู้ให้ลาภลอยแก่คนอื่น โดยที่เขาไม่คาดฝัน หรือโดยที่ตนเองก็ไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน เมื่อพบเห็นใครน่าช่วยเหลือก็ช่วยเลยทันที เมื่อทำให้คนอื่นได้รับลาภ ก็ย่อมสมควรแก่การเป็นผู้รับลาภในอนาคต ลาภที่ให้ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องมากมาย แต่อย่างน้อยต้องทำให้เขายินดีปรีดา หรือทำให้เขารอดจากภาวะยากลำบากแบบฉับพลันทันที (ลาภที่ได้รับอาจมาจากหลายทางโดยไม่คาดฝัน อย่าแค่ไปคิดถึงการถูกล็อตเตอรี่อย่างเดียวนะครับ ประเภทอยู่ดีๆมีเงินโอนเข้าบัญชีหลายแสนแบบสืบหาต้นตอไม่ได้ แจ้งธนาคารตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ความเป็นมา อันนี้เคยเกิดกรณีพิลึกพรรค์นี้มาแล้วจริงๆ) 

๒) เคยเป็นผู้ตั้งใจให้คนอื่นดีใจกับการได้รับของขวัญ ของกำนัลโดยไม่คาดฝัน มีมากครับพวกชอบเซอร์ไพรส์ชาวบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้รู้เนื้อรู้ตัว หวังจะเห็นเขาตื่นเต้นยินดีสุดขีด ความหวังชนิดนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ให้ผลเป็นลาภลอยก้อนใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าใครอยากได้อะไรมานาน รู้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหากได้สิ่งนั้น นั่นแหละตรงเป้าอย่างจังทีเดียว 

บุญเก่าที่ทำให้ค้าขายได้กำไรเสมอ 

๑) เคยให้ความหวังแก่สมณะว่าจะถวายสิ่งโน้นสิ่งนี้ ตกปากรับคำแล้วภายหลังนำมาถวายตามสัญญาเสมอ แต่ให้ยิ่งขึ้นกว่านั้นคือท่านต้องการเพียงหนึ่ง แต่นำของที่ท่านประสงค์มาถวายเป็นสิบ อย่างนี้ถ้าเก็งไว้ว่าจะทำยอดให้ถึงเป้าสักล้าน ก็อาจพุ่งพรวดทะลุเป้าไปเป็นหลายสิบล้าน เป็นต้น พูดง่ายๆ คือโชคช่วยตลอด แม้ฝีมือไม่ได้ดี เล่ห์เหลี่ยมธุรกิจไม่ได้มากกว่าพ่อค้าใกล้ละแวกก็ตาม ข้อนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะนำไว้เป็นกรณีพิเศษ จะทดลองก็ไม่เสียหาย สำหรับหลายคนที่ไม่มีบาปเก่ามาเป็นอุปสรรค ก็น่าจะได้เห็นผลทันตาในชาตินี้ได้ 

๒) เคยเป็นผู้คืนกำไรให้กับสังคม คือเมื่อสังคมช่วยให้ตนรวยแล้ว ก็แบ่งความรวยนั้นให้สังคมได้ประโยชน์สุขบ้าง พวกบริษัทใหญ่ๆ ที่คิดโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์นั้นมาถูกทางแล้ว หากใจไม่เล็งอยู่แต่ว่าจะได้มีส่วนลดหย่อนภาษี ก็จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เห็นผลอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องรอเกิดชาติหน้า เพราะการทำคุณกับมหาชน จะให้ผลขยายใหญ่ เห็นง่าย เห็นเร็วกว่าการทำคุณแบบเจาะจงกับกลุ่มคนเล็กๆ 

บุญเก่าที่ทำให้ได้ผลตอบแทนคุ้มกับความรู้ความสามารถหรือฝีไม้ลายมือ 

๑) เคยให้ผลประโยชน์กับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา สมน้ำสมเนื้อแล้วกับความรู้ความสามารถของพวกเขา อันนี้ต้องขอแสดงความเสียใจกับชาวไทยจำนวนหนึ่ง ที่นิยมซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นประจำ ไม่เห็นแก่ค่าสมอง ค่าแรงงานของคนทำบ้างเลย กรรมนี้ต่อไปก็ยากจะเป็นผู้ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า แต่ถ้ามีเงินซื้อของจริงแล้วยอมจ่าย โดยคิดว่าเงินจะได้ไปเข้ากระเป๋าคนผลิตตัวจริง ถ้าทำเป็นประจำก็ส่งผลให้อนาคตเป็นผู้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงาน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกดค่าผลงาน 

๒) เคยเป็นผู้ทำงานโดยเล็งประโยชน์สุขแก่คนอื่น คือตั้งต้นไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือรายได้เป็นหลัก เช่นอยากทำยาสีฟัน ก็เฝ้าครุ่นคิด หรือให้ทุนนักวิจัยว่าทำอย่างไรจะได้ยาสีฟันดีๆ มีคุณภาพสูง รักษาเหงือกและฟันได้จริง กับทั้งมีราคาไม่แพงเกินกำลังผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกว่ามอบสินค้าที่เกินคุ้มให้กับสังคม ประโยชน์สุขของผู้บริโภคจะย้อนกลับมาเป็นกำลังหนุนให้ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าที่คาดฝันเช่นกัน 

จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แม้ยังไม่ตอบคำถามของคุณตรงๆ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เริ่มเห็นได้ว่าการเป็นคนรวยล้นฟ้านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีทานในอดีตเป็นบุญเก่าหนุนส่งอยู่ แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายต่อหลายข้อประกอบร่วมเข้าไปด้วย


พระพุทธองค์ทรงสอน คาถาเศรษฐี

เรื่องที่ผ่านมาคือ ผลบุญเก่าที่ทำให้ร่ำรวยในชาตินี้ ทีนี้มาดูว่า คนที่ไม่ได้ทำบุญมามากพอ จะทำยังไงจึงจะรวยได้ เรื่องนี้พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้ในหัวข้อธรรมที่ชื่อ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน 4 อย่าง บ้างเรียกว่า หัวใจเศรษฐี "อุ อา กะ สะ" อาจเรียกสั้น ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ (เนื่องจากอัตถะ แปลว่า ประโยชน์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ ซ้ำซ้อนกันสองคำก็ได้) หรืออาจเรียกเต็ม ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เพื่อประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มี ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น อันจะสำเร็จด้วยธรรม 4 ประการ คือ
  1. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่นขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ
  2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ
  3. กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
  4. สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ link นี้ครับ >>> ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์

วิธีทำบุญให้รวยด้วยคาถาเงินล้าน


จริงๆ วิธีทำบุญให้รวย ก็ไม่มีอะไรมาก คือ การทำกรรมดีให้มากๆ เพื่อจะได้เอาชนะผลกรรมชั่วในอดีตที่เราเคยทำไว้จนส่งผลให้ได้รับความลำบากในทุกวันนี้ นั่นก็คือ การปฏิบัติตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ซึ่งสรุปย่อง่ายๆ เหลือ 3 ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเองครับ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีผู้แนะนำไว้มากมาย ในที่นี้ผมจะขอนำเสนอ คาถาเงินล้าน ที่พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านได้เมตตาสอนลูกหลาน เพื่อให้มีความคล่องตัวในการดำเนินชีวิต จะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ พระนิพพาน ดังรายละเอียดดังนี้ครับ..

  ***คาถาเงินล้าน**

ตั้งนโม 3 จบ

สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม(คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ(คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ......

(บูชา 9 จบ ตัวคาถาต้อว่าทั้งหมด ข้อความอธิบายในวงเล็บไม่ต้องสวด)
(พรหมา-อ่านว่า พรม-มา)
(สวาโหม-อ่านว่า สะ-หวา-โหม)

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

คำอธิบาย-

หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม)ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532
คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้

เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น,๒๐๐ จบ เป็นต้น
การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น


พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
**
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา

********************************
เคล็ดลับในการสวดคาถาเงินล้าน

ถาม :เรื่องลดค่าเงินบาท 

ตอบ:ไม่ต้องถามจ้ะเอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจท่องอย่างจริงๆ จังๆ มันฟื้นเร็ว

ถาม :ท่องวันละ ๙ จบ 

ตอบ:รู้มั้ย อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบจำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่นั้นนะเหรอ เยอะๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓วัน ๓ คืนก็ได้คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ให้ทำเพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติอีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไปก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

ถาม :จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

ตอบ:ถ้าหากว่าเอาคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างมันจะดีเพราะคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อยถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงานมันมาชนิดทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

ถาม :หนักไปทางสวดมนต์

ตอบ:อันไหนก็ได้ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่งก็สวดคาถาเงินล้านแทนไปเลย

ถาม :๙ จบน้อยไป ?

ตอบ:น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลายๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็มๆที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไป ชักลูกประคำไปจน ๒ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้วเพราะว่าชักมันจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกันมือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย เป็นยังไงล่ะ ถ้าไม่ทำจริงๆขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้นตลอดเวลาที่เริ่มต้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่สอนให้ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมดในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวย

สมัยหลวงปู่ปานก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตรเจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐานมาถึงรุ่นหลวงพ่อไม่มีใครทำจริงๆอาตมาก็เลย...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีเวลา ๑๓ เดือนสร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้ทำที ๔-๕ วัดพร้อมๆกันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าคาถาบทนี้บทเดียว ไปทำเถอะ

ถาม :งานขาดทุน สับสน

ตอบ:ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้นถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมากสมัยหลวงพ่อไหม ถ้าหากว่าไม่มีไปหามาแล้วใช้ควบคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริงๆ เท่านั้นทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

เคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ว่า ในแต่ละวันถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้าๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จะดูว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีซะว่า ๒ มื้อ ๑ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็มๆทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่งๆ ได้เยอะกว่านั้นเยอะแต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้มันจริงๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ นี่ล่อซะ ๓ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือนแล้วหลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้นไอ้เรื่องนับจบเลิกนับแล้ว


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
การวางกำลังใจในการภาวนาคาถาเงินล้านให้ได้ประโยชน์สูงสุด>>

***********************************

ถาม :เมื่อสองสามวันก่อนนี่แฟนเพื่อนไปอธิษฐานหน้ารูปหลวงพ่อที่อยู่ที่บ้านเขาขอให้ถูกหวยสักงวดหนึ่ง ก็ซื้อเลย ๔๗๒ ปึ้งแทงสองตัวด้วย ๗๒ก็ไปแทงพอตอนบ่ายกลิ่นน้ำอบน้ำหอม เต็มบ้านไปหมด แทบจะวิ่งหนีออกนอกบ้านเพราะกลัวพอหวยออกมาโดนตรง ๆ เลย
ตอบ :คราวนี้ก็รีบไปแก้บนซะ ไม่ได้บนหรอกขอดื้อๆ แต่รีบไปทำบุญใหญ่ซะ แสดงว่าวาระบุญของเขามาถึงถ้าหากว่าวาระบุญที่เกิดจากทานบารมีมาไม่ถึงนี่ซื้อให้ตายก็ไม่ถูก

ถาม :อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าคือผมเริ่มท่องมาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนแล้วแล้วตอนนี้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยขาดจะมีแต่เพิ่มขึ้นแต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นที่ว่า...

ตอบ :ค่อย ๆ ทำไปถ้าหากว่าเราทำโดยที่กำลังใจของเราคิดว่าเราทำเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์เรามีหน้าที่ทำเพื่อรักษามรดกล้ำค่าที่หลวงพ่อให้เราไว้

แล้วก็ท่องบ่นภาวนาของเราไปโดยที่ไม่ได้คิดอยากได้ใคร่ดีอะไรกับผลตอบแทนอันนั้นเรามีหน้าที่ท่อง ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะมาเยอะมาเร็วด้วยแต่ถ้าหากว่าเราท่องแล้วใจมันคิดอยากได้ ตัวอยากมันจะตัดไปเยอะอันนี้กล้ายืนยันเพราะอาตมาทำเอง แล้วก็ทำมาตลอด

ถาม :หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานท่านให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติและท่านก็บอกด้วยว่าพระคาถานี้คนไปนิพพานกันเยอะแล้ว ก็เลยท่องมาเรื่อย
ตอบ :คือคาถานี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องคิดว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อให้เจ้าของคาถาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้าและถ้าเป็นคาถาในส่วนที่เป็นคาถาเงินล้านหลายบทที่พระพุทธเจ้าท่านให้มา
ถ้าใจของเราเกาะหลวงพ่อใจเกาะพระปัจเจกพุทธเจ้า ใจเกาะพระพุทธเจ้าคิดว่าท่านเองทรงความดีถึงขนาดนั้นเป็นผู้ให้คาถาเรามาถ้าเราตายเราขอไปอยู่กับท่านอย่างนั้นโอกาสไปนิพพานก็สูงมันอยู่ที่ทำได้หรือทำเป็น ถ้าหากว่าทำเป็นนี่ประโยชน์เยอะ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

*****************************

การใช้พระคาถาเงินล้าน โดย หลวงพี่เล็ก
"....... ดังนั้น ขอให้ทุกคนยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่เรามา โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้านขอให้ทุกคนท่องบ่นภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ จะสร้างความคล่องตัวให้แก่เราอย่างคิดไม่ถึงใครจะว่างมงาย ใครจะว่าเหลวไหล อาตมายืนยันว่าไม่งมงาย ไม่เหลวไหลเพราะอาตมาใช้มาเอง มีใครบ้างที่สามารถสร้างวัด ๆ หนึ่งเสร็จได้ภายในปีเดียว โดยที่๒ มือเปล่า ๆ มีแต่คาถาบทเดียว จะไม่ให้ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่ได้แล้วขณะเดียวกันไปช่วยเขาที่อื่นไปช่วยเขาที่ไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าการสะดุดหยุดยั้งผิดจังหวะไม่มี มีแต่ความสะดวกคล่องตัวอยู่เสมอ


ดังนั้นขอย้ำว่าถ้าเราใช้คาถาเป็น ส่วนใหญ่ทำไมใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกกันการใช้คาถาเป็นก็คือต้องวางกำลังใจให้เป็น การวางกำลังใจให้เป็นก็คือตั้งใจว่าคาถานี้คือสมบัติวิเศษที่พ่อให้มาหน้าที่เราคือรักษาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ด้วยการเป็นคนที่ขยันท่องบ่นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาอย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกวัน เรื่องของความสม่ำเสมอจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ กันในเมื่อเราตั้งใจทำถวายบูชาต่อท่านอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ผลพิเศษต่าง ๆมันจะเกิดขึ้นเองแต่ ถ้าเราทำเพื่อจะหวังผลพิเศษนั้นตัวอยากที่บังหน้ามันจะตัดไปเกือบหมด อยากได้ไม่ใช่ความผิดแต่พออยากตั้งใจว่าต้องการอะไรแล้วลืมความอยากนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไปนี่คือการใช้คาถาที่ถูก การ ปฏิบัติทุกอย่างเหมือนกัน อยากมันถึงทำแต่ตัวอยากตัวนี้เป็นฉันทะ หลวงพ่อเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ ความพอใจในธรรมไม่ใช่ตัวตัณหา ตัวตัณหาเป็นการอยากได้ใคร่มีในลักษณะที่เรียกว่าถ้าไม่ได้มาผิดศีลผิดธรรมก็ยังเอา ตัวอยาก มีอยู่ในทุกธรรมะแต่ว่าตัวอยากนี้เป็นตัวธรรมฉันทะ คือ พอใจในการปฏิบัติขณะเดียวกันการปฏิบัติทุกอย่างอารมณ์อุเบกขาสำคัญที่สุด........................................"

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญเพราะอยากรวย...ผิดหรือไม่

ทำบุญเพราะอยากรวยหรือทำบุญเพราะอยากได้บุญ...ผิดมั้ย???



ทำบุญเพราะความอยาก เช่นอยากรวย อยากไปสวรรค์ ทำบุญเพราะอยากได้บุญ หรือทำบุญเพราะอยากไปนิพพาน เหล่านี้ถือว่าเป็น การหลงบุญหรือเป็นการคิดผิดหรือไม่...???
ผมเชื่อว่าคำถามนี้แต่ละคนคงตอบไม่เหมือนกันแน่ เพราะต่างคนก็ต่างความคิด บางท่านอาจบอกว่า ถ้าไม่อยากได้บุญแล้วจะทำบุญไปทำไม อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่บางท่านอาจจะแย้งว่า ทำบุญไม่ควรหวังในบุญ เพราะมีความอยาก ย่อมเป็นกิเลส จัดเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ.... แล้วท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกันบ้างครับ..

พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างไร
คำตอบของคำถามนี้ ผมคิดว่าคงต้องอิงคำสอนของพุทธองค์ในพระไตรปิฎกก่อนนะครับ

พระพุทธองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลก ทรงทราบว่า คนเรากิเลสหนาบางไม่เท่ากัน หากใครได้อ่านพระไตรปิฎกคงทราบดีว่า เวลาพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัทมักแสดงธรรมเรื่อง อนุปุพพิกถา ซึ่งประกอบไปด้วย 
  • ทานกถา กล่าวถึงทาน
  • สีลกถา กล่าวถึงศีล
  • สัคคกถา กล่าวถึง สวรรค์
  • กามาทีนวกถา กล่าวถึง โทษแห่งกาม
  • เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึง อานิสงส์แห่งการออกจากกาม

อนุปุพพิกถานั้น เป็นธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อฟอกอัธยาศัยของบุคคลผู้ฟังให้มีความประณีตขึ้นไปโดยลำดับ   ถ้าหากว่าผู้ฟังสามารถที่จะชำระกิเลสของตนให้เบาบางลงได้ ตามที่ทรงแสดงแล้ว ต่อไปก็จะแสดงอริยสัจ ๔ ธรรมะทั้ง ๙ ข้อนี้  จึงเรียกว่า พหุลานุศาสนี  คือพระธรรมที่พระองค์แสดงมากที่สุด เนื่องจากเป็นการค่อย ๆ  ขัดเขลาจิตใจของผู้ฟังไปโดยลำดับ แต่เวลาแสดงจริง ๆ นั้น ไม่จำเป็นแสดงครบหมดทั้ง ๕ ข้อ  ผู้ฟังสามารถจะเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติได้ในระดับใด ก็จะทรงแสดงไปในระดับนั้น

  • ประการแรก  ก็จะทรงแสดงประโยชน์ของการให้ เพื่อขจัดความตระหนี่  ความเห็นแก่ตัวของบุคคลให้เจือจางลงไป บังเกิดมีน้ำใจเผื่อแผ่  เอื้อเฟื้อต่อบุคคลอื่นจนถึงกับพร้อมที่จะเสียสละและบริจาคทาน 
ท่านแสดงว่า  "ทานนี้นี้เป็นต้นเค้าแห่งความสุขทั้งหลาย เป็นมูลแห่งสมบัติทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งปวง เป็นที่ต้านภัย  เป็นคตินำไปข้างหน้าของบุคคลที่ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่ ทานเป็นที่พำนักพักพิงอาศัย  ที่ยึดเหนี่ยวอันเสมอเหมือนทานไม่มีทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น ดุจสีหบัลลังก์ อันล้วนแล้วด้วยรัตนะ  เป็นที่พำนักอาศัย ดุจเชือกผูกห้อยไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทานเป็นดุจทาส  เพราะเป็นเครื่องกั้นทุกข์เป็นดุจเกราะของผู้กล้าหาญในสงคราม เป็นเครื่องทำให้อุ่นใจ  เป็นดุจเมืองที่ตกแต่งไว้ดีแล้วเพราะเป็นที่ป้องกัน  เป็นดุจดอกปทุม เพราะไม่เปื้อนมลทิน   คือความตระหนี่เป็นดุจอสรพิษเพราะความตระหนี่เป็นต้น  ไม่อาจเข้าใกล้ เป็นดุจราชสีห์  สมมติว่าเป็นมงคลยิ่งและเป็นดุจพญาม้าวลาหกเพราะพาให้ถึงภูมิอันเกษม ทานนี้เป็นมรรคาที่เราตถาคตได้ดำเนินมาแล้ว.."

  • จากนั้นก็จะทรงแสดงศีล  เพื่อให้บุคคลตระหนักที่จะควบคุมกาย วาจาของตนให้ประพฤติเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยต่อหมู่คณะที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ จนถึงพร้อมที่จะยอมรับนับถือบุคคลอื่น และทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นศักดิ์ศรีแก่หมู่คณะ  
ทรงแสดงว่า "ชื่อว่าศีลนี้เป็นที่พำนัก เป็นที่อาศัยที่ต้านภัย เป็นที่ยึดเหนี่ยว  ต้านทาน เป็นที่หลบภัย เป็นคติที่เป็นไปในเบื้องหน้า    ศีลเป็นเชื้อวงศ์ของเราตถาคต ได้บำเพ็ญศีลบารมีในภพนั้น ๆ เป็นอเนกอนันต์  ศีลเป็นที่อาศัย   เป็นที่ตั้งแห่งสมบัติทั้งหลาย  ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น  ไม่มีที่พำนักอาศัยอื่นเสมอเหมือน เครื่องอลังการก็ดี ดอกไม้ก็ดี เครื่องประทินผิวก็ดีที่เสมอเหมือนเครื่องอลังการคือศีล ดอกไม้คือศีล  เครื่องประทินคือศีล หามีไม่ แท้จริง  ชาวเทวโลกย่อมนิยมบูชาท่านผู้ประกอบด้วยศีลอลังการ ทัดดอกศีลโกสุมลูบไล้ประทินคือศีลเสมอไม่รู้เบื่อ และอย่างที่ทรงแสดงว่า  ศีลเป็นอาภรณ์อย่างประเสริฐ ศีลเป็นอาวุธอย่างยอดเยี่ยม ศีลเป็นเกราะอย่างมหัศจรรย์  ศีลอันเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้  เป็นต้น เมื่อบุคคลอาศัยศีลนี้แล้ว ก็ย่อมจะได้สวรรค์.."

  • จากนั้นก็จะแสดงผลดีงามที่เกิดขึ้นจากการให้ทานและการรักษาศีลที่บุคคลจะพึงประสบ  ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า   คือการอุบัติบังเกิดในสวรรค์ 

  • และเมื่อบุคคลเห็นชื่นชมเพลิดเพลินกับความสุขในสวรรค์ อัธยาศัยของบุคคลนั้นสามารถที่จะเรียนรู้ปฏิบัติสูงขึ้นไปพระองค์ก็จะแสดงถึงโทษแห่งกาม   คือการที่ใจของบุคคลไปกำหนดรูป  เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ วัตถุกามเหล่านั้น  จะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีโทษ ก่อให้เกิดความหมกมุ่น ยึดติด ผ่อนคลายได้ยากสลัดได้ยาก จิตใจจะกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น 

  • แต่เมื่อบุคคลมีความเบื่อหน่ายในกามก็จะแสดงเนกขัมมานิสงส์คือ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม  นี่เป็นหลักที่ทรงแสดงไปตามลำดับดังนี้
จะเห็นว่าแม้พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นแบบอย่างในการสอนธรรมะ โดยในเบื้องต้นจะสอนจากที่จิตหยาบๆ ยังอยากมีอยากได้ พระองค์ทรงสอนให้ทำทานรักษาศีลเพื่อให้มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรื่องด้วยสมบัติต่างๆ และสวรรค์สมบัติ จนเมื่อจิตละเอียดขึ้นก็จะสามารถสอนโทษของกามและการละออกจากกามซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดคือ พระนิพพานได้ในที่สุด ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เบื้องต้นเรามาทำบุญเพราะความอยากรวย หรืออยากได้บุญ หรืออยากจะไปเกิดบนสวรรค์ เพราะบรมครูของเราท่านก็สอนมาแบบนี้...


พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน ท่านเคยสอนเปรียบเทียบให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ว่า "ถ้าทำบุญแล้วไม่อยากได้บุญใครหน้าไหนมันจะไปทำจ๊ะ อันนั้นมันเป็นอารมณ์พระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลสแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาจิตไปยึดเกาะบุญเกาะบาปอีกต่อไป ท่านทำอะไรจิตก็ไม่ปรุงแต่ง เป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้น ทีนี้เรายังไม่ถึงขั้นนั้นจิตยังต้องการเกาะความดีอยู่ คือบุญอันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนานั่นเอง เปรียบเหมือนเดินขึ้นบันไดก็ต้องมีราวเกาะคือความดี แต่เมื่อขึ้นไปถึงสุดทางขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องการราวเกาะอีกต่อไป ตอนนั้นค่อยวาง ไม่ใช่ยังไปไม่ถึงแล้ววางราวเกาะ อย่างนี้อีกกี่ชาติจะไปถึงจ๊ะ.."

หลักการทำบุญ

การทำบุญจริงๆ มี 10 วิธีคือ บุญกิริยาวัตถุ 10 ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอยกตัวอย่างของการทำทานมาหนึ่งตัวอย่าง ปกติผลบุญจากการให้ทานจะมากจะน้อยขึ้นกับองค์ประกอบ 4 อย่างหลักๆ คือ ผู้ให้ทานมีความบริสุทธิ์(แบ่งตามศีล) วัตถุทานมีความบริสุทธิ์  เจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ และสุดท้ายคือ ผู้รับมีความบริสุทธิ์ (เนื้อนาบุญ)

ในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะปัจจัยที่สาม คือ เรื่องของเจตนาในการให้ทาน เพราะเกี่ยวกับหัวข้อที่เขียนในวันนี้



เจตนาของผู้ให้บริสุทธิ์ หากเราให้ทานด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตา ด้วยความปรารถนาดี ทั้งก่อนให้ก็มีความสุขที่จะได้ให้ ขณะให้ก็มีความสุขใจ และหลังจากให้แล้วเมื่อนึกถึงที่ได้ทำไปก็รู้สึกสุขใจ จิตจะตั้งอยู่บนความเบิกบานแจ่มใส เราย่อมได้รับผลบุญสูงกว่าให้โดยหวังผลประโยชน์บางอย่างตอบแทน ให้เพราะอยากได้หน้า ให้ไปแล้วรู้สึกเสียดายทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ไปแล้ว จิตของเราจะตั้งอยู่บนความเศร้าหมอง ขุ่นมัว ผลบุญย่อมลดลง เรื่องของเจตนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากและสร้างความแตกต่างในบุญได้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ เจตนาที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์กับเจตนาที่บริสุทธิ์มากๆ จะสามารถให้ผลบุญที่แตกต่างกันเป็นล้านๆ เท่า
ใน ทานสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อที่ 49 พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระสารีบุตรไว้สรุปใจความได้ดังนี้
  • ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช
  • ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์
  • บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา
  • บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต
  • บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี
  • บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
  • บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม
ดังนั้นในการให้ทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราควรทำจิตทำใจในการให้ทาน คือ ให้เพื่อละความตระหนี่ในใจ ให้เพื่อละกิเลสคือความตระหนี่ ให้เพราะต้องการสงเคราะห์และให้เพื่อดำรงพระพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี ไม่ใช่ให้ทานเพราะหวังรวย อย่างนี้ได้อานิสงส์น้อย (อนึ่งพึงเข้าใจว่า แม้ว่าเจตนาในการให้ทานของเราจะให้เพื่อละกิเลสคือละความตระหนี่ ไม่ได้ต้องการรวย แต่ผลแห่งทานย่อมทำให้เราบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ในภายภาคหน้า แม้ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เปรียบเสมือนบุคคลหว่านเมล็ดข้าวลงไปในนาแล้ว ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่ได้ผลข้าว แต่สุดท้ายเมื่อข้าวเติบโตขึ้น ย่อมได้ผลแห่งข้าวนั้นนั่นเอง)

****************************
สรุปว่า ไม่ว่าเราจะทำบุญเพราะหวังรวย หรืออยากไปสวรรค์ หรืออยากแก้กรรม หรือเพราะอยากได้บุญเพื่อพระนิพพานหรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาทำบุญให้เก็บความอยากเอาไว้ แล้วตั้งจิตให้ได้กุศลสูงสุดคือ ทานหรือบุญที่เราทำนี้หวังเพียงละกิเลสคือความโลภในใจเรา เป็นการให้ทานเพื่อการสงเคราะห์ผู้อื่นและเพื่อให้เป็นปัจจัยให้ได้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด..