ตามรอยพุทธทาส...ตายแล้วไปไหน
แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ทรงสอนว่า จะดีจะชั่วก็ขึ้นกับเจตนาเป็นหลัก ดังนั้นผมจึงขอบอกก่อนว่าเจตนาที่ผมเขียนบทความต่อไปนี้ ไม่มีเจตนาจะลบหลู่ใคร หรือทำให้บุคคลใดเสียหาย หรือโอ้อวดตัวเองแต่อย่างใด แต่เจตนาที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะต้องการให้ท่านผู้ที่ต้องการศึกษาพระธรรม หรือสนใจพระพุทธศาสนาได้พบหนทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก เหมือนที่ผมเคยประสบพบเจอมาก่อน
อนึ่งท่านผู้อ่านพึงทราบว่า เรื่องนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ไม่ทราบได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการเชื่อ และหากเรื่องนี้ทำให้ท่านผู้อ่านขุ่นข้องหมองใจประการใด ผู้เขียนต้องกราบขออภัยไว้ด้วย ถือซะว่าเป็นความโง่ของผู้เขียนไปละกันครับ...
เหตุแห่งความสงสัย
สมัยเริ่มศึกษาธรรมะใหม่ๆ มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอาหนังสือ คู่มือมนุษย์ ของหลวงพ่อพุทธทาสมาให้อ่าน เพื่อนบอกว่า เขียนดีมาก เป็นหนังสือธรรมะที่ดีที่สุด ผมลองเอามาอ่านดู... ปรากฏว่า อ่านไม่รู้เรื่องเลย.... ไม่รู้เพราะอะไร แต่อ่านแล้วรู้สึกไม่ถูกจริต และทนอ่านต่อไปไม่ได้ ก็มาคิดเอาเองว่า สงสัยเรายังใหม่อยู่ เอาไว้ค่อยกลับมาศึกษาใหม่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ศึกษาแนวทางของท่านอีกเลย
ผ่านไปหลายปี ยิ่งศึกษาธรรมะมากขึ้น ชื่อเสียงของท่านก็มาให้ได้ยินมากขึ้น ประกอบกับผมเคยสงสัยเรื่องการกินเนื้อกินผัก ก็ได้คำตอบจากงานเขียนของท่าน ผมจึงเริ่มสะสมหนังสือต่างๆ ของท่านเก็บไว้รออ่าน แต่ไม่รู้เป็นไร หยิบมาอ่านทีไร เป็นต้องวางทุกที ส่วนใหญ่เลยเอาไปให้พ่ออ่าน ปรากฏว่าพ่อชอบมาก...ซะงั้น แสดงว่าจริตใครก็จริตมัน
หลายปีผ่านไป ผมได้กลับมาพบกับเพื่อนคนที่เคยแนะนำให้ผมอ่านหนังสือ คู่มือมนุษย์ หลังจากได้สนธนาธรรมกันบ้าง ทำให้ทราบว่า เพื่อนผมคนนี้ เข้าใจว่า ตายแล้วสูญ นิพพานแล้วสูญ...เอาละซี งงเลยว่าเพื่อนเราก็ศึกษาธรรมะมานาน แต่ทำไมกลับเข้าใจผิดอย่างนี้หว่า...ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนแนะนำผมเรื่องหนังสือธรรมะด้วยซ้ำ และผมก็ได้สังเกตพบว่ามีคนรู้จักอีกหลายคนที่ศรัทธาหลวงพ่อพุทธทาส และช่วงนั้นเองก็มีเหตุให้ผมไปอ่านเจอกระทู้ที่มีคนออกมาต่อต้านคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาสว่าท่านสอนผิด คือ ท่านสอนว่าไม่มีสวรรค์ นรก ไม่มีเทวดา หรือโอปาติกะต่างๆ รวมทั้งสอนว่านิพพานสูญ พระพุทธเจ้าสูญไปแล้ว ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ตอนแรกผมคิดว่า คนเขียนกระทู้มั่วหรือเปล่า ท่านจะสอนแบบนั้นได้ยังไง แต่เขาก็แนบหลักฐานคำสอนของท่านมาจริง ปรากฏว่า ก็อย่างที่กล่าวตอนต้น กระทู้เหล่านี้ปรากฏว่าได้รับความนิยมมาก ปะฉะดะกันกระจาย โดยมีกัน 3 ฝ่าย คือ หนึ่งฝ่ายที่คัดค้านคำสอนของท่าน สองฝ่ายลูกศิษย์ที่ออกมาสนับสนุน และสามฝ่ายที่หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลยออกมาพูดว่า.."จะรู้ไปทำไม"... จริงๆ คงมีอีกหนึ่งฝ่าย คือ ฝ่ายที่ท่านรู้แล้วว่าหลวงพ่อพุทธทาสท่านเป็นพระอริยะเจ้าหรืออยู่ในนรกกันแน่ แต่ท่านเหล่านี้มักมีอุเบกขาแรง ไม่อยากจะมายุ่งด้วย เพราะท่านไม่อยากอยู่ในความวุ่นวาย...
ลองดูตัวอย่างกระทู้นี้
link >>> ท่านพุทธทาสเป็นพระอริยะเจ้ารึเปล่าครับ
อ่านจบแล้วได้ข้อสรุปกันมั้ยครับว่า คำสอนท่านบิดเบือนจริงหรือไม่ ท่านเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ และตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน สวรรค์ พรหม นิพพาน หรือ นรก..
จากกระทู้ข้างต้นและที่ผมเคยอ่านเจอมา ฝ่ายที่สนับสนุนหลวงพ่อพุทธทาสมีเหตุผลดังนี้ครับ
- มีการกล่าวอ้างหลวงพ่อเกษม เขมโกว่า ท่านเป็นพระอนาคามี
- มีการกล่าวอ้างว่าหลวงพ่อชา สุภัทโท ยืนยันคำสอนของท่าน
- มีการกล่าวอ้างว่าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญและหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชื่นชมท่าน
- พระสายวัดธรรมกายกล่าวอ้างว่าท่านอยู่บนสวรรค์ (ไม่ทราบที่มา)
- ท่านได้รับการยกย่องจากองค์กรระดับโลกอย่าง ยูเนสโก
- ฯลฯ
ฝ่ายที่คัดค้านให้เหตุผลว่า
- มีการอ้างคำสอนที่ท่านคัดค้านพระไตรปิฎก รวมทั้งสอนว่า นิพพานสูญ
- มีการกล่าวอ้างว่าผู้มีญาณพบท่านในโลกันตนรก
- มีการกล่าวอ้างว่า อัฐิธาตุของท่านไม่แปรเป็นพระธาตุเหมือนพระอริยเจ้าท่านอื่น
- พระวัดท่าซุงออกมาปฏิเสธคำอ้างที่ว่าหลวงพ่อฤาษีฯไปเยี่ยมท่านที่สวนโมกข์และชื่นชมท่านว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง (จากคำบอกเล่าสมาชิกเวบพลังจิต)
- ฯลฯ
จะรู้ไปทำไม..???
นั่นนะสิครับ หลายท่านอาจจะตั้งคำถามอย่างนี้ ถ้าให้ตอบแบบกวนๆ ก็คือ ก็เพราะอยากรู้นะสิ ก็คนมันสงสัยเลยอยากรู้ คุณไม่อยากรู้ก็เรื่องของคุณสิ มาอ่านกระทู้นี้ทำไม (ว่ะ..55)
ไม่หรอกครับ จริงๆ มันมีที่มาที่ไป จริงอยู่ที่ว่า พระพุทธองค์สอนว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง : จงเตือนตนด้วยตนเอง" คือ ให้เน้นดูความผิดของตัวเองเป็นหลัก อย่าไปเพ่งโทษหรือติเตียนผู้อื่น แม้เขาจะผิดจริง ก็ไม่ควรจะไปด่าหรือตำหนิเขา แต่พระองค์ก็ยังทรงสอนว่า อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต นั่นคือ ให้อยู่ใกล้กัลยาณมิตร จะได้มีความเจริญ ในทางธรรมเรื่องของกัลยาณมิตรถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิตรที่ดีจะช่วยให้เรามีสัมมาทิฏฐิ ในที่นี้รวมความถึงครูบาอาจารย์ด้วย ในเมื่อเรายังไม่รู้ว่าใครคือบัณฑิตหรือคนพาล จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะรู้เพื่อป้องกันการหลงผิด เพราะหากหลงผิดไปแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะไปแก้ไขความคิดเขา เหตุที่เราสงสัยไม่ใช่เพื่อไปจับผิดหรือตำหนิใคร แต่เจตนาเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิทั้งแก่ตัวเราเอง และเพื่อนร่วมสังสารวัฏ ผมจึงเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ จึงได้พยายามค้นหาคำตอบให้กับตัวเองมานานหลายปี กว่าจะได้คำตอบ..
คำตอบคืออะไร
คำตอบผมคงไม่ต้องบอกหากท่านผู้อ่านได้ลองศึกษาสิ่งที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านสอนก็คงจะพอรู้คำตอบได้ด้วยตัวเอง โดยอาจลองไปอ่านดูได้ที่เวบ พุทธทาสดอทคอม >>>>http://www.buddhadasa.com/
ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ
- นรกสวรรค์ไม่มีจริง
link >>>นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า
- ชาตินี้ ชาติหน้าไม่มีจริง
link >>>> ชาตินี้ ชาติหน้า
link >>>> ชาตินี้ ชาติหน้า
- ไม่เชื่อเรื่องโอปปาติกะ
link >>>>> โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี?
- เทวดาไม่มีจริง (เทวดาเป็นเพียงตัวบุคคลาธิษฐาน)
link >>>> เทวดามีจริงหรือ?
ขอยกเนื้อหามาบางส่วน อ่านแล้วก็อึ้งกิมกี่ไปเลยครับ..
...ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า
ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต
และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา
เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว
มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว
ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.
มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว
เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา;
แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก
สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ
ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์
ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์
ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้.
ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คน
หรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิต
ได้อย่างแท้จริง;
ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;
พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ
เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์,
สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ
ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ
จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.
อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;
เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้
ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ
ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์
เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล
แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึง
เรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ
พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรัง
ไปด้วย ตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว
ก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
ไม่มีความทุกข์ เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น
พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง.
ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น
เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา
เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว
ก่อนพระองค์เกิด
ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม
พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.
เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้
ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา
แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้
เพราะความจำเป็นอย่างนี้;
ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย
ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง
หมดความจำเป็นไปในตัวเอง
เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;
หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์
ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.
พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้
จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง
เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.
บทสรุป
จากตัวอย่างที่ผมนำมาให้อ่านเบื้องต้น คงพอสรุปได้แล้วว่า หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้ามากมายแค่ไหน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ การที่สอนบุคคลมากมายให้หลงผิดไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีโทษร้ายแรงมาก จึงพอจะคาดเดาได้ว่าตายแล้วท่านจะไปไหน แต่อย่างไรก็ตาม หากก่อนตายท่านกลับตัวกลับใจได้ ก็ไม่แน่นักว่าท่านจะไปอยู่ที่ใด...
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผมเก็บความสงสัยเรื่องหลวงพ่อพุทธทาสมานานหลายปี จนได้มีโอกาสไปฝึกมโนมยิทธิ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอไปดูว่าท่านอยู่ที่ใดกันแน่ พรหม สวรรค์ หรือนรก แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองนัก เพราะผมมันยังเลวอยู่มาก สิ่งที่ผมพบ ไม่อาจนำมาอ้างอิงได้..
แต่หลังจากที่ผมเฝ้ารอและค้นหาคำตอบจากท่านที่มีภูมิธรรมสูง ก็ได้รับคำตอบมาว่าท่านกำลังรับผลกรรมอยู่ใน โลกันตนรก หนึ่งในนั้นคือครูบาอาจารย์องค์หนึ่งที่ผมนับถือซึ่งก็คือ พระอาจารย์เล็ก แห่งวัดท่าขนุน ซึ่งถึงแม้ว่าท่านไม่ได้กล่าวถึงชื่อหลวงพ่อพุทธทาส แต่ก็พออนุมานได้จากวันเวลาที่ท่านมรณภาพซึ่งตรงกับรายละเอียดในบทสนทนาในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ดังนี้ครับ..
ถาม : หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ
วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอม ๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์
ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย
ถาม : แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
ตอบ : เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย
ถาม : แล้วถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพระที่สอนคน คือสอนทางธรรมแล้วคนปฏิบัติหรือว่าไปในทางที่ดี ถือก็ว่าท่านมีบุญบารมีขึ้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ ถ้ารู้จริงสอนถูกต้องส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าสำหรับเป็นพระอริยเจ้าแล้วคำว่า อริยะ แปลว่า เจริญ ไม่มีคำว่าเสื่อม มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นไป เพราะอย่างงั้นถ้าถามว่าเป็นบุญมั้ย ? เป็นอยู่จะส่งผลให้ท่านดีขึ้นมั้ย ? ดีขึ้นแน่ ๆ เพราะว่าท่านไม่มีวันเสื่อมแล้ว
ถาม : แล้วสมมุติว่า บางคนเขาไม่ตั้งใจถือว่าเป็นกรรมเก่ามั้ย ที่เขา.....?
ตอบ : จริง ๆ แล้วมันก็เป็นกรรมเก่าอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาที่อื่นเยอะแยะไปที่เราคิดว่าดี?ทำไมเขาไม่ไปเขาเลี้ยวเข้าไปในสำนักอย่างงั้น ก็คงจะเคยสร้างบารมีร่วมกันมา แต่ว่าไม่แน่นะบางรายอย่างพระสุธรรมเถร บาลีเขาเรียก ตุจโฉโปฏฐิละเถรใบลานเปล่า คือ ตัวเองไม่ได้อะไรสอนตามพุทธวัจนะเฉย ๆ ลูกศิษย์กลายเป็นพระอรหันต์เป็นพัน ๆ เลย ลูกศิษย์ฉลาดสอนตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อะไรเลย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เรียกเถรใบลานเปล่า นี่เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งให้รู้สึกตัว
ก่อนนั้นก็ยิ้มรับนะไป ๆ มา ๆ เอ๊ะทำไมพระพุทธเจ้าเรียกเราอย่างนี้ นึกไปนึกมา อ๋อ..ที่แท้เราเองดีแต่สอนคนอื่นเขา เหมือนยังกับเปิดตำราเปิดใบลานสอนอย่างนี้ แต่ว่าตัวของเราเองไม่ได้มีความดีอะไรตามนั้นเลย ก็เหมือนกับใบลานเปล่า ตั้งใจจะปฏิบัติไป ขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์แล้วสอนไม่มีใครกล้าสอน ท่านก็ต้องขอไล่ไปเรื่อย ๆ เขาโบ้ยไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเณรองค์สุดท้ายโน่น เณรก็เป็นอรหันต์แล้ว เณรเหลียวไปมองเอ้า...ไม่มีใครจะให้โบ้ยแล้วก็เลยต้องรับเป็นอาจารย์...(หัวเราะ)...
เสร็จแล้วท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงเณรสอนก็เถอะใช่มั้ย ? เพราะว่าสามเณรอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี่ถือเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นพระเถระ ไม่มีคำว่าเด็กแล้วนะ ตัวนี้แหละโบราณเขาเคยผูกเป็นโคลงเอาไว้ว่า “ปลูกเรือนใกล้ท่า ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด” ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน นั่นมันขี้เกียจขนาดไหน ปลูกอยู่ริมน้ำแท้ ๆ ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ ถ้ามันขยันซะอย่างน้อย ๆ มันต้องมีแน่ ก็เปรียบหยั่งกับนักบวชของเราเป็นพระเป็นเณร มัวแต่ขี้เกียจอยู่หาความดีไม่ได้จะไปเอาน้ำที่ไหนกิน จะเอาหม้อที่ไหนใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ชาวบ้านอุตส่าห์บำรุงเลี้ยงเราอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนหยั่งกับเลี้ยงไก่หวังจะให้ขันบอกโมงยาม บอกหนทางไปสวรรค์บอกอะไรบ้าง ไม่ได้ศึกษาความรู้อะไรเลย จะเอาอะไรไปขันไปสอนเขา แล้วท่านก็บอกอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด ในสมัยโบราณนี่พวกคัมภีร์เทศน์อะไรต่าง ๆ เขาห่อผ้าเอาไว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาถ้าไม่แกะออกมาดูไม่ได้อ่านมันก็ไม่ได้ทำซักที
โบราณเขาผูกเป็นปริศนาเอาไว้ บางคนตีไม่ออกอยากไปสวรรค์ไปแก้ผ้าในวัด มันขืนไปแก้กันเป็นแถว พระเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ เลย เข้าใจใช่มั้ย ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำกิน นี่ขี้เกียจสุด ๆ เลยคนบ้านเขาไกลห่างน้ำหลายกิโล เขายังอุตส่าห์ไปตักไปแบกมากินนะ ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด...(หัวเราะ)....
ปริศนาธรรมโบราณเขาลึกซึ้ง โดยเฉพาะเลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขันนี่ ชาวบ้านเขาคงละอายใจเต็มที่แล้ว เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาแต่หาความดีไม่ได้ สักแต่ว่าห่มผ้าเหลืองไปวัน ๆ ท่านถึงได้เปรียบว่า เอาผ้าเหลืองไปห่มตอซะยังดีกว่า ไหว้ตอไม้แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์ได้บุญมากกว่า
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
update ข้อมูล : ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2557
วันนี้ว่างๆ เลยมานั่ง update blog (รู้สึกช่วงนี้ คนจะเริ่มเข้า blog เยอะขึ้น เพราะดันมีคนเอากระทู้ผมไปลงอ้างอิงในพันทิป...ซวยแล้วตรู)ก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่ามาด่าผมมากนะครับ ผมขี้เกียจเถียงคน เอาเป็นว่า เป็นข้อมูลที่ผมนำมาแชร์ ส่วนคุณผู้อ่านจะเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ใช้ปัญญาพิจารณากันเอาเองครับ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าได้ไปปรามาสพระอาจารย์เล็กที่ผมนำเอามาเป็น Reference เด็ดขาดนะครับ เพราะท่านไม่ได้เอ่ยชื่อหลวงพ่อพุทธทาส เป็นผมเองที่อนุมานเอาเอง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ถือเป็นความผิดพลาดของผมเอง..
และถ้าอยากศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง มิจฉาทิฏฐิ vs สัมมาทิฏฐิ อ่านเพิ่มเติม >> ที่นี่ <<เลยครับ..