หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เราสามารถเปลี่ยนกฏแห่งกรรมได้หรือไม่..

กรรมของเรา เราสามารถกำหนดเองได้



ถาม : ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลของกรรมทั้งดีและร้ายในอดีต แล้วจะมีช่องว่างให้เราทำกรรมใหม่ในปัจจุบัน ที่เป็นการตัดสินใจของเราเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่ใช่ผลของกรรมในอดีตบ้างไหมคะ ?

ตอบ : มีเต็มร้อย..แต่จังหวะนั้นมีน้อย ต้องรอจังหวะที่วาระบุญวาระกรรมขาดช่วงลงพอดี ซึ่งถ้าไม่ใช่บุคคลที่ฝึกใน ยถากัมมุตาญาณ มาจนคล่องตัวจะไม่รู้ถึงจังหวะนี้ 

ถาม : ถ้าเกิดไม่ทราบในยถากัมมุตาญาณจะทำอย่างไรครับ หรือทำดีไว้ก่อน ?

ตอบ : ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส

ถาม : สาเหตุที่ถามเพราะคุณพ่อชอบบอกว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำหนดไว้หมดแล้ว เราเป็นเหมือนตัวละครเล่นตามบทไป แม้กระทั่งความคิดที่จะทำดีหรือทำชั่ว ก็เพราะผลของกรรมเก่ากำหนดให้ทำอย่างนั้น ก็เลยอยากจะหาผู้มีความรู้มาอธิบายว่า กรรมเราเองเราน่าจะเป็นคนกำหนด แต่ไม่แน่ใจว่าเราเล่นตามบทที่กำหนด กรรมเขากำหนดไว้อย่างเดียว หรือเราในปัจจุบันมีโอกาสเขียนบทใหม่ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อกำหนดผลต่อไปบ้างไหม ?

ตอบ : เขียนบทเองได้เลย ไม่มีปัญหา ถ้าเขียนบทได้ยาวนานพอผลดีก็จะเกิดกับเราเอง แต่เท่าที่ฟังมาอย่าเอาคำตอบนี้ไปเถียงพ่อให้เสียเวลา ท่านไม่ฟังหรอก

ถาม : เราสามารถที่จะเลือกทำได้ ไม่ใช่กรรมกำหนดอย่างเดียว ? 

ตอบ : ทำได้..อาตมาเองฝืนกรรมมาหลายยกแล้ว ถ้าไม่ฝืนป่านนี้ก็มีหลานแล้ว ไม่ใช่แค่มีลูกเฉยๆ..!


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีการหนีกรรม

วิธีการหนีกรรม


     ถาม :  ถ้าการปฏิบัติธรรมที่เราคิดจะหนีกรรม ทีนี้ถ้าสามารถปฏิบัติได้ถึงให้เข้าสู่พระนิพพานแล้วนี่ แสดงว่ากรรมนั้นไม่ได้ถูกชดใช้เลยใช่มั้ยคะ ? 
     ตอบ :  ไม่ได้ใช้เลยเขาเรียก อโหสิกรรม คือต้องขาดกันไปโดยอัตโนมัติเลย เพราะอีกผู้หนึ่งบริสุทธิ์จนกระทั่งพ้นเขตของกรรมไปแล้ว กรรมไม่สามารถส่งผลให้ได้เขาเรียก “อโหสิกรรม” คราวนี้ว่าการปฏิบัติเพื่อหนีกรรมนี่ ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนาจริง ๆ กฎของกรรมตามได้ไม่เกิน ๒๕% อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้เองนะ เพราะฉะนั้นโดยเฉพาะตัวภาวนาทำให้มากเข้าไว้ กำลังยิ่งสูงเท่าไหร่ บุญก็จะส่งให้เราห่างกรรมออกไปมากเท่านั้น 
      ถาม :  การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตรงนี้ปฏิบัติได้ยังไงบ้างเจ้าคะ ? 
      ตอบ :  ทาน ศีล ภาวนา ทานอยากจะให้อะไรบ้างล่ะ ....(หัวเราะ) ทานก็เริ่มดู ก็จะมีวัตถุทาน ธรรมทาน อภัยทาน เลือกเอา แล้วก็ศีล ๆ อันนี้ก็คือรักษาตัวเองอย่าให้ศีลขาด เมื่อศีลไม่ขาดแล้วก็อย่ายุให้คนอื่นทำด้วย แล้วก็เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย ส่วนของการภาวนาก็ว่าไปเลยอย่างน้อย ๆ ให้ได้ปฐมฌานเอาไว้ ถ้าสามารถทรงฌานไว้แล้วไม่ทิ้งทำอยู่ประจำ ๆ นี่ตัวกรรมมันจากหนักมันก็เป็นเบา คือมันจะตามเล่นงานเราได้ยากขึ้น เพราะกำลังเราสูงซะแล้ว 
      ถาม :  คนที่ปฏิบัติที่มีการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่ ....(ไม่ชัด)...จะมากกว่าคนทั่วไปใช่มั้ยคะ ? 
      ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกันปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่แต่ฟุ้งซ่านก็ไม่เอาไหนอยู่นะจ๊ะ ท่านหมายความว่ากำลังใจของเขาถ้าต้องมุ่งตรงแล้วต้องเป็นหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนท่อน้ำท่อหนึ่ง ถ้าหากว่ามันแตกแขนงออกมากมายเท่าไหร่ก็ตาม กำลังน้ำที่มันจะมุ่งตรงไปมันก็เบาลงเท่านั้น ใช้งานได้ยาก 
              แต่ถ้าเราปิดท่อที่แตกแขนงออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กำลังน้ำมันก็จะแรงขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มกำลังของมันลักษณะเดียวกับเราสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่เปิดช่องให้มันแลบออกไปข้างนอกได้ กำลังมันรวมตัว พอการตัดกิเลสต่าง ๆ มันก็ง่ายขึ้น 
      ถาม :  อย่างนี้พูดง่าย ๆ คือการรักษาให้มั่นคงใช่มั้ยคะ ? 
      ตอบ :  จ้ะ รักษาให้มั่นคงมันไม่ยาก มันยากตรงทำให้ต่อเนื่อง เพราะว่ากำลังใจของเราอย่างฌานโลกีย์พอเรารวมกำลังใจได้มันก็มั่นคง ทรงฌาน ๔ ก็ทรงเป๋งเลย 
              แต่ทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องยาวนานได้ตรงนี้สำคัญกว่า ส่วนใหญ่พวกเราจะประสบปัญหาก็คือว่า พอเลิกภาวนาก็เลิกเลยมันใช้ไม่ได้ เพราะว่าอันนั้นมันจะเท่ากับว่าหากินทีละมื้อ ตำข้าวสารกรอกหม้อเฉย ๆ พอเราลุกขึ้นต้องรักษาอารมณ์ตอนนั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้จิตมันชินกับการที่กิเลสหรือว่านิวรณ์โดนกดเอาไว้ก่อน จนกว่าเราจะละมันได้เอง ถ้าเรากดมันไว้จนชินมันมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้เรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มเอาไว้ 
              เขาเปรียบเหมือนเอาหินทับหญ้าทับนาน ๆ เข้าหญ้ามันตายไปเอง เพราะเราเองต้องพยายามทับหญ้ามันไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่ลุกขึ้นแล้วเลิกเลยนะ 
              ตัวรักษาอารมณ์ต่อเนื่องสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ จะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเราไม่รักษาให้ต่อเนื่องไม่หมั่นพิจารณาดูว่า เหตุอะไรที่ทำให้ใจของเราสบายแล้วทำเหตุนั้น เหตุอะไรที่ทำให้ใจเราไม่สบายแล้วละเหตุนั้นเสีย ถ้าเราไม่รู้จักเลือกหาตรงจุดนี้แล้วรักษาอารมณ์เราให้ต่อเนื่องในด้านดีเอาไว้ มันจะก้าวหน้าลำบาก จะสงสัยว่า เอ๊ะ ! ทำเท่าไหร่ ๆ มันก็ได้แค่นั้น ก็เราทำแค่นั้นมันไม่ทำให้เยอะกว่านั้นนี่ 
      ถาม :  เรียกว่าล้มเหลวได้มั้ยคะ ? 
      ตอบ :  จะเรียกว่าล้มเหลวก็ได้ แต่จริง ๆ มันยังได้อยู่คือ ได้ทำ (หัวเราะ) ได้ทำนี่เหนื่อย แต่งานมันได้น้อย
ถาม :  อยู่ตามที่ทำงานแล้วมันบากค่ะ 
      ตอบ :  ลำบากนั่นไม่มีปัญหา เราไปแค่กรอบของศีลบ้าตามเขาได้ทุกเรื่องเลย คนที่บ้าอย่างมีสติมันทำได้ดีกว่าเขานะ มันก็เหมือนกับคนเมาดิบ คนเมาดิบนี่ท่ามันหนักกว่าคนเมาจริงเยอะเลย เสียงก็ดังกว่าเขา เราอาศัยศีลเป็นกรอบเราไปแค่กรอบของศีล ไปอย่างมีสติ เพราะฉะนั้นเวลาเราบ้าตามคนอื่นเขา มันจะสนุกกว่ามากเรียกว่าบ้าอย่างมีสติ คนอื่นเขาบ้าเพราะขาดสติ 
      ถาม :  อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ? 
      ตอบ :  ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริง ๆ ก็คือตัวภาวนา ๆ จะทำให้เข้านิพพานได้ แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่ เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย ? ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือน ๆ กันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอ ๆ กัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน 
      ถาม :  ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ....? 
      ตอบ :  สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน กติกาของการไปนิพพานก็คือ 
              ๑. เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง 
              ๒. รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์ 
              ๓. ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ต้องเห็นนรกเห็นสวรรค์บ้างมั้ย ? ไม่มีนะ สิ่งที่เห็นสำหรับคนขี้สงสัยจะได้แก้สงสัยว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าหากว่ามัวแต่แก้สงสัยมัวแต่ไปทำอยู่ ตายตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะได้เต็มที่ก็พาลไม่ได้ไปด้วย ก็ได้แค่ตามสมควรเท่านั้น ดังนั้นว่าถ้าหากว่าเรามีความเชื่อถือที่มั่นคงจริงจังแล้วพระพุทธเจ้าสอนถูกตั้งหน้าตั้งตาทำ เมื่อถึงวาระนั้นอารมณ์ของพระนิพพานจะเข้ามาเต็มในใจของเราเอง แล้วเราจะรู้ว่าสภาพของนิพพานแท้จริงเป็นยังไงไม่ต้องเห็นก็ได้ 
              เพราะฉะนั้นถึงว่าบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ทำไมถึงมั่นใจคุณของพระรัตนตรัย ทำไมถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพานทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เห็น เพราะว่าอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเต็มในใจของท่านเอง เมือ่เข้าถึงแล้วรับรู้ได้แล้วถึงไม่เห็นก็มั่นใจ 
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นแค่ของแถม ถ้าหากว่าเห็นแล้วใช้ผิดอย่างปัจจุบันนี้ก็ยิ่งน่าเวทนาหนักเข้าไปอีก มโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด เพราะว่ากิเลสโดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลวงเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าใจไม่อยู่คอยปรุงคอยแต่งแล้วมันไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ มโนมยิทธิเป็นการถอดใจออกไป มันโกรธขึ้นมาอาศัยความชำนาญวิ่งไปอยู่บนพระนิพพาน มันเกิดราคะขึ้นมาอาศัยความชำนาญโดดขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน 
              ในเมื่อไม่มีใครมาปรุงมาแต่งมันก็เหมือนกับอาหาร ไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำตาลไม่ได้ใส่น้ำส้มน้ำปลาอะไร รสชาดมันไม่เอาอ่าว มันจืดชืด ไม่นานมันก็เลิกของมันไปเองพอทำบ่อย ๆ การตัดกิเลสอัตโนมัติโดยเฉพาะไปนิพพานได้ รู้จักพระนิพพานจิตมันเกาะอยู่เป็นประจำ กิเลสมันหมดเข้านิพพานได้ง่าย ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด ๆ ตรงที่ว่ายังไง...ไประลึกชาติใช่มั้ย ? คนนั้นก็เป็นญาติเรา คนนั้นเป็นพ่อคนโน้นเป็นแม่ ไอ้นั่นผัวไอ้นี่เมีย นั่นลูก ฟื้นความสัมพันธ์ไม่พอ ไปผูกความสัมพันธ์ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แทนที่จะละก็กลายเป็นยึดก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น 
              ถ้าหากว่าตายในขณะที่จิตใจของตนเองผ่องใส พื้นฐานมโนมยิทธิคือ กำลังจองฌานก็ได้แค่พรหมเท่านั้นใช่มั้ย ? ถ้าตายตอนจิตใจเศร้าหมองไปดูไอ้ชาตินั้นไม่น่าเลย ไปทะเลาะกับเขาอย่างนี้กำลังใจกำลังขุ่นมัวอยู่ก็เป็นอันว่าลงอบายภูมิไป ขาดทุนย่อยยับ เพราะฉะนั้นว่าการรู้นี่ไม่แน่เหมือนกันว่าจะดี ถ้ารู้แล้วขาดสติขาดการไตร่ตรองก็ทำให้เราพลาดจากผลประโยชน์ที่ควรได้ มโนมยิทธิของหลวงพ่อราคาเป็นล้านนะ เราเอามาใช้ไม่ถึงสลึงแล้วยังใช้ผิดอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วท่านต้องการให้เราเอากำลังใจเกาะนิพพานเอาไว้ เกาะให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ 
              ถ้าใครที่อยู่รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่ามีอยู่สมัยนั้นที่หลวงวพ่อกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง ๗ องค์ที่บรรลุพร้อมกันที่อยู่ทางเหนือ บอกว่ามีอยู่ ๓ องค์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ส่วนอีก ๒ องค์ก็ได้รับเค้าจากอีก ๓ องค์ ของท่านท่านบอกท่านไม่ได้ทำอะไรมากหรอก วัน ๆ หนึ่งก็เอาจิตเกาะนิพพานไว้ เกาะนิพพานอยู่ ๆ กิเลสมันหมดเอง นั่นแหละคือจุดที่หลวงพ่อต้องการมากที่สุด มโนมยิทธิในด้านอื่น ๆ เมื่อเรารู้แล้ว รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น รู้ว่าสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วไปไหน ระลึกชาติได้ รู้ว่าทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วผลจะเป็นอย่างไรเหล่านี้ ท่านให้รู้เพื่อเราจะได้เข็ดจะได้ละ 
              แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนที่มันไม่ทุกข์มั่ง....มีมั้ย ? มันทุกข์ทุกชาติใช่มั้ย ? ชาตินี้เกิดอยู่ก็ทุกข์อีกนะ เพราะฉะนั้นอีดตทุกชาติทุกข์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เป็นอันว่า ๓ ข้อเก็บใส่กระเป๋าได้เชื่อมั่นว่าทุกข์แน่ ๆ ไม่ต้องใช้แล้ว รู้ใจคนอื่นประโยชน์มันน้อย มันต้องดูใจตัวเองดูว่าความดีมีมั้ย ? ถ้าไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันมีความชั่วมั้ย ? ถ้ามีไล่มันออกไปแล้วระวังไว้อย่าให้มันเข้ามานะ 
              เจโตปริยญาณ ถ้าดูใจตัวเองลักษณะนั้นก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าดูผิดมัวแต่ไปดูคนอื่น คนนั้นใจเป็นอย่างนี้คนนี้ใจเป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูที่ตัวแก้ที่ตัวก็เสียประโยชน์ไป บุพเพสันนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น มีชาติไหนบ้างที่ไม่ทุกข์บ้างถามหน่อยเถอะ จุตูปปาตญาณ คนเกิดก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีเราย่อมไปสู่สุขคติ ถ้าเราทำชั่วก็ลงอบายภูมิ ถ้างั้นก็เก็บเอาไว้อีกอย่างหนึ่งได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกยถากรรมมุตาญาณนี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะว่ารู้ว่ากรรมแต่ละอย่างทำให้คนและสัตว์เป็นยังไง เราเชื่อกรรมดีกรรมชั่วก็เก็บใส่กระเป๋าไปเลย 
              ตกลงว่ามโนมยิทธิไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วคนที่มียิ่งชัดก็ยิ่งโดนหลอกง่ายใช่มั้ย ? ประสบการณ์โดนหลอกนี่มันเจ็บปวดจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่แล้วโดนมาทั้งนั้นนะ โดนแบบไม่รู้ตัวด้วย ในเมื่อตัวเองเห็นก็มักจะไปเถียงคนอื่น ก็ตัวเองเห็นแล้วมันจะผิดได้ยังไง หารู้ไม่ว่าเขาหลอก เราเห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟัน ไล่แทงมา ตกอกตกใจวิ่งเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่ โดนเขาตีกะบาลเอาน่ะซิ เราเห็นจริง ๆ รึเปล่า ? เห็นใช่มั้ย แต่เรื่องนั้นเรื่องจริงรึเปล่า ? ไม่ใช่...เป็นเรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา 
              เพราะฉะนั้นเรื่องของการรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณหรือว่าเห็นด้วยมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง ถ้าสอบตกก็เจ็บออกหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า วิ่งหาอารมณ์พระโสดาบันเอาไว้ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าไป มโมยิทธิจัดเป็นอภิญญาใช่มั้ย ? อภิคือ ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ มันไม่มีอะไรรู้ไปยิ่งกว่าการตัดกิเลสหรอก ไม่ได้ยุให้พวกเราเลิกทำนะ ใครทำได้ให้เปลี่ยนไปเกาะพระนิพพานแทน เกาะได้นานเท่าไหร่ดีเท่านั้น 
              ภพอื่นภูมิอื่นเราก็ดูอยู่แล้วรู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่มีที่ไหนดีไปกว่านิพพาน เรื่องอื่น ๆ นั่นกองไว้ได้ถ้าตายตอนนั้นแย่เลย มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่สายลม ท่านบอกว่าคนที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือวิชชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นแบบนี้ไม่ใช่กั้นอย่างนี้ แล้วของเราเองแค่มโนมยิทธินี่มันคงจะห่างซักแค่นี้ ....ตายแหง ๆ เลย เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาคว้าอารมณ์พระอริยเจ้าไว้ก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ก่อนปิดอบายภูมิไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ ตายก็อย่าให้มันขาดทุน

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ 
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ 
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ